คอลัมนิสต์

ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 รู้ไม่ครบ จบไม่ได้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 รู้ไม่ครบ จบไม่ได้ คอลัมน์... รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

 


          สถานการณ์ใหญ่โตจากปริมาณฝุ่นขนาดจิ๋วพีเอ็ม 2.5 ในประเทศไทยยังคงสร้างความวิตกกังวลให้สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพีเอ็ม 2.5 มากมาย แต่ ณ ปัจจุบัน ประชาชนรู้สึกว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมหรือเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังที่ปรากฏบนโลกโซเชียล

          ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่ผ่านมา สภามีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ขณะที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมี พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มกราคม เร่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบังคับใช้กฎหมายให้มากขึ้น พร้อมสั่งตั้งวอร์รูมที่กรมควบคุมมลพิษประชาสัมพันธ์แก่ประชาชน


          รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขฝุ่น พีเอ็ม 2.5 ควรระบุสาเหตุของฝุ่นอย่างแน่ชัด แก้ให้ตรงประเด็น และไม่สื่อสารชี้นำประชาชนไปสู่ข้อสรุปที่ไม่มีข้อเท็จจริงมาสนับสนุน ตัวอย่างเช่น การสื่อสารว่าฝุ่นในกรุงเทพฯ มีต้นเหตุมาจากภาคขนส่งเป็นหลักทำให้การประกาศหยุดเรียนในสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วเชื่อว่าสามารถลดฝุ่นในกรุงเทพฯ ได้อย่างมีนัย 


          “เราไม่ปฏิเสธว่าภาคขนส่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของการสร้างฝุ่น พีเอ็ม 2.5 แต่การหยุดเรียนไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ฝุ่นลดลง สาเหตุที่แท้จริงข้อหนึ่งมาจากมีลมจากอ่าวไทยช่วยพัดฝุ่นออกไปจาก กทม. ขึ้นไปกระทบพื้นที่ภาคกลางตอนบนและภาคเหนือ ถ้าฝุ่นมีสาเหตุหลักมาจากภาคขนส่งจริงแล้วทำไมพื้นที่ชนบทที่ไม่ได้มีกิจกรรมขนส่งมากมายก็ยังประสบปัญหาฝุ่นไม่น้อยกว่าในกรุงเทพฯ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือกรุงเทพฯ มีปริมาณการขนส่งเกือบจะสม่ำเสมอตลอดทั้งปี แต่ทำไมฝุ่นมาวิกฤติในช่วงฤดูหนาว นั่นแสดงว่าต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น มีแหล่งกำเนิดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อื่น และสภาพอากาศ เป็นต้น”


          ที่น่าเป็นห่วงก็คือการใช้ข้อมูลของตัวแทนรัฐบาลออกมาต่อต้านและกล่าวโทษนักวิชาการ ดังที่เห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของนายประลอง  ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กับ สุทธิชัย หยุ่น ทางเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันที่ 20 มกราคม ซึ่งอธิบดี ยังคงยืนยันว่าฝุ่นอยู่ในระดับที่สูงแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นกระทบสุขภาพ และยังตั้งคำถามว่า “อาจารย์ นักวิชาการทั้งหลาย ทำไมต้องไปสร้างความตื่นตระหนก (เรื่องมลพิษฝุ่นพีเอ็ม 2.5) แก่ประชาชน”




          “จากการสื่อสารของภาครัฐสู่ประชาชนที่เห็นในสื่อทั่วไปทำให้เกิดข้อสงสัยว่าข้อมูลของภาครัฐเรื่องสาเหตุที่มาของฝุ่นนี้เกิดจากการเก็บและนำส่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสู่ระดับผู้มีอำนาจตัดสินใจ หรือมีการปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริงที่สำคัญไม่ให้ถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจ เมื่อข้อมูลสาเหตุต้นตอของฝุ่นนั้นไม่ถูกต้อง ผู้มีอำนาจตัดสินใจก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและเด็ดขาด และเราก็เห็นได้ว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมาเป็นมาตรการระยะสั้นทั้งสิ้น ไม่มีมาตรการการแก้ปัญหาระยะยาวที่มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอสาเหตุแต่อย่างใด”


          รศ.ดร.มาโนช กล่าวว่า ภาคขนส่งเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดฝุ่น พีเอ็ม 2.5 แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ถูกพูดถึงน้อยและถูกมองข้ามเช่นควันจากเขตอุตสาหกรรมโรงงาน การผลิตขนาดใหญ่ไปจนถึงการเผาป่า ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีดาวเทียมตรวจสอบฮอตสปอตหรือความร้อนพื้นผิวเพื่อตรวจสอบจุดที่มีไฟไหม้ หรือมีการเผาไหม้เกิดขึ้น


          “จากสื่อโซเชียลเราจะเห็นว่ามีโรงเรียนในชนบทหลายแห่งต้องออกมาโพสต์ข้อความขอความอนุเคราะห์หน้ากากกันฝุ่นเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ ตัวเลขระดับพีเอ็ม 2.5 ของบางโรงเรียนนั้นพุ่งไปถึงระดับ 300 หรือ 500 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งๆ ที่ตัวโรงเรียนอยู่ในชุมชนเล็กๆ ไม่ได้มีฝุ่นจากรถหรือโรงงานที่ไหนมาทำให้ค่าฝุ่นพุ่งไปถึงระดับที่น่าตกใจขนาดนั้นได้ เมื่อดูข้อมูลจากดาวเทียมของนาซาก็จะเห็นได้ว่ามีฮอตสปอตอยู่โดยรอบโรงเรียน ซึ่งทำให้สามารถคาดคะเนได้ว่าเป็นฝุ่นที่เกิดจากการเผาป่าซึ่งอาจจะเกิดจากธรรมชาติหรือการเผาของมนุษย์ได้ทั้งคู่”


          การมีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมต้องใช้ต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่สูงขึ้นด้วย รศ.ดร.มาโนช ย้ำว่าเราทุกคนควรช่วยกันตั้งคำถามถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีว่าจะคุ้มค่าจริงหรือไม่ นอกจากนี้รัฐบาลต้องมีความจริงใจในการแก้ปัญหาที่ต้นตอ โดยคำนึงถึงต้นทุนของทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน


          “ปัจจุบันเราจะให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม มากกว่าภาคสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่หากรัฐคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นในภาคสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ ผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพ อายุขัยของประชาชนอย่างจริงจังแล้ว อาจจะพบว่าการเริ่มต้นลงทุนพัฒนา อากาศสะอาดตั้งแต่ตอนนี้มีความคุ้มค่าในระยะยาว”


          การยกระดับมาตรฐานควบคุมมลพิษและพัฒนาคุณภาพอากาศตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องก็มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะระดับมาตรฐานที่มีในกฎหมายบ้านเราหลายตัวยังอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการดูแลเรื่องคุณภาพอากาศอย่างจริงจัง


          “การจะยกระดับมาตรฐานอย่างทันทีทันใดคงทำได้ยาก เพราะจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมหาศาล แต่สิ่งสำคัญคือการกำหนดเป้าหมาย ว่าประเทศไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ในอีกกี่ปี มีมาตรการพัฒนาเป็นลำดับอย่างไร เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถวางแผนเตรียมตัวได้ทัน เพียงเท่านี้ลูกหลานของเราก็จะได้มีอากาศสะอาดไว้หายใจในอนาคต” รศ.ดร.มาโนช ทิ้งท้าย
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ