พระราชดำรัสคลี่คลายวิกฤติ

 

 

 

          วันนี้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2562 ถือเป็นอีกวาระสำคัญของพสกนิกรชาวไทย

          ตามประสาสามัญชนเป็น "วันพ่อแห่งชาติ” จักได้ร่วมน้อมรำลึกถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ

 

 

          ประเทศชาติอยู่ร่มเย็นเป็นสุขมาถึงทุกวันนี้ได้ ด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจมากมายหลายคณานับ ในยามบ้านเมืองประสบสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง พระองค์ทรงเข้ามาคลี่คลายวิกฤติการณ์ได้ราวปาฏิหาริย์

          กระแสพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมือง ที่...อสนีบาต…และเชื่อว่าหลายท่านจดจำได้ดี นั่นคือในช่วงเหตุการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ยุค พล.อ.สุจินดา คราประยูร ยึดอำนาจและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำมวลชนออกมาชุมนุมต่อต้าน

          จากความขัดแย้งทางความคิดภายในสภาขยายวงกว้างออกสู่ท้องถนน นำมาซึ่งการปะทะสร้างความรุนแรง บาดเจ็บ สูญเสีย และเสียหายทั้งสถานที่ราชการ เสียหายต่อสภาพทางเศรษฐกิจ เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศออกสู่สายตานานาอารยประเทศ

          ในที่สุด ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ ให้บุคคลทั้งสองเข้าเฝ้าฯ พร้อมกับพระราชทานกระแสพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

          "...ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง

          ...ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ให้ช่วยแก้ปัญหาปัจจุบันคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยได้กลับคืนมาด้วยดี..."

          หลังจากนั้นเมฆหมอกพฤษภาทมิฬจางหาย บ้านเมืองคืนสู่ความสงบ ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ร่วมพัฒนาประเทศ

          อย่างที่กล่าว กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ยังเป็นเครื่องเตือนใจพี่น้องประชาชนคนไทย และสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจให้ได้กลับมาฉุกคิด ทุกครั้งที่เกิดการแก่งแย่งหวังเอาชนะคะคานกันบนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ไม่มีใครหรอกจะเรียกได้ว่า ตนเป็นผู้ชนะและผู้แพ้

          การสร้างความรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงกรอบกฎกติกา รังแต่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ไม่มีการพัฒนาก้าวหน้าไปถึงไหน

          ระบอบประชาธิปไตยได้กำหนดกรอบกติกาตามรัฐธรรมนูญ ทุกฝ่ายล้วนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน แต่ละฝ่ายถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ ก็สมควรทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายบริหาร หรือ นิติบัญญัติ

          กรณีสภามีไว้ให้สมาชิกสภาผู้แทนฯ ได้นำเสนอ ถกเถียงแสดงความเห็น และยุติด้วยการลงมติเสียงข้างมาก พร้อมกับรับฟังเสียงส่วนน้อย การดำเนินงานของบ้านเมืองก็เป็นไปตามปกติ

          แต่ตราบใดไม่ยอมรับซึ่งกฎกติกา เอะอะ จะใช้การระดมพลแสดงพลังข้างถนน จริงอยู่ เป็นสิทธิที่กระทำได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะยังมีกฎกติการัฐธรรมนูญกำหนดอยู่มิให้ล่วงละเมิดกระทบต่อสิทธิเสรีภาพผู้อื่นเช่นเดียวกัน

          ความพยายามอ้างตนเป็นนักประชาธิปไตยแต่เที่ยวกร่างอยู่บนท้องถนนแล้วไปละเมิดสิทธิผู้อื่น นั่นก็แสดงให้เห็นว่าไม่ต่างอะไรกับพวกบ้านป่าเมืองเถื่อน พวกเอาแต่ได้ สร้างความไร้สาระวุ่นวายให้บ้านเมืองเพื่อหวังว่า ตัวเองจะได้กลับมาครองอำนาจด้วยวิธีการเถื่อนๆ

          สุดท้ายก็เป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น ไม่มีใครประสบความสำเร็จด้วยวิธีก่อความวุ่นวาย แต่ผลลัพธ์รังแต่นำมาซึ่งความเสียหายได้ซากปรักหักพังกลับไป สำคัญที่สุด “ประเทศชาติคือผู้แพ้”

          “สามัคคีคือพลัง รู้จักหน้าที่ของตน" ยังเป็นประโยคที่ใช้ได้ดี กับการประกอบกิจการงานใดๆ เช่นเดียวกับ การดำเนินงานทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ หันหน้าร่วมมือกัน บ้านเมืองก็ได้รับการพัฒนาเจริญเติบโต ชนะก็ชนะไปด้วยกัน และเป้าหมายสูงสุด ประเทศชาติชนะบนแผนที่โลกใบนี้ด้วย

          ขอทิ้งท้ายในวันสำคัญ รัฐบาลจัดงานวันพ่อแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 5-14 ธันวาคม ณ ท้องสนามหลวง เปิดตั้งแต่สิบโมงถึงสองทุ่ม โดยมีการออกบูธจัดกิจกรรม แสดงนิทรรศการเรื่องราวพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 เช่น นิทรรศการ “ปณิธานความดี...มีแล้วแบ่งปัน” , “ชุมชนต้นแบบแห่งความดี...วิถีไทยในแบบพ่อ” และอีกมากมาย

          จึงขอเชิญชวนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมงาน และร่วมกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐโดยพร้อมเพรียงกัน ครับ