เลื่อนแบนสารพิษ รัฐ วิสัยทัศน์สั้น หรือถูกบีบ ด้วยผลประโยชน์คนบางกลุ่ม
ยังเป็นประเด็นร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ผลจากมติที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีมติให้เลื่อการควบคุมสารพิษออกไป ก็มีนักวิชาการหลายภาคส่วนให้ความเห็นเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งล่าสุด เว็บไซต์ สถาบันทิศทางไทย ได้เผยแพร่ บทความของ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เรื่อง “ผ่อนผันสารพิษภาครัฐ วิสัยทัศน์สั้น หรือถูกบีบคั้นด้วยผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”
ผมค้านตั้งแต่ เม.ย. 60 แล้ว เรื่องมันมีว่า:
-5 เม.ย.2560 มติ 5 กระทรวง #แบนสารพิษ แต่ให้นำเข้าได้ถึงปลายปี 2560 และอนุญาตให้จำหน่ายต่อไปอีก 2 ปี ให้สิ้นสุด 1 ธ.ค. 2562
-เม.ย.- ธ.ค.2560 เกิดการนำเข้าสารพิษอย่างรุนแรงก่อนสิ้นวาระนำเข้า
-ม.ค.2560-27 พ.ย.2562 การดิ้นรนอย่างมหาศาลจากกลุ่มผลประโยชน์นำเข้าสารเคมีที่เชื่อมโยงถึงบริษัทแม่ในสหรัฐฯที่มี รัฐบาลอันธพาลระดับโลก หนุนหลัง บีบคั้นมาตั้งแต่ระดับรัฐบาลโลก ดำเนินการลงถึงระดับ เกษตรกรรากหญ้า ผู้เห็นแต่ประโยชน์ระยะสั้น เพื่อพลิกมติการแบน 3 สารพิษให้ได้
-สุดท้ายธุรกิจขาย หัวกะโหลกกระดูกไขว้ ก็ชนะอีกตามเคย
จนถึงวันนี้การแบนสารพิษเที่ยวนี้ ภาพรวมของภาครัฐขอเรียกว่า ไม้หลักปักขี้เลนลองมาดูเหตุผลกำปั้นทุบดินที่สิ้นคิด:
1)ต้องยืดเวลาออกไป เพราะยังมีสต็อกเหลือ ต้องรอขายออกไปก่อน
-ก็เวลา 9 เดือนตั้งแต่เม.ย. 2560 พวกคุณเร่งนำเข้าสารพิษอีกเบิกบานเท่าไหร่แล้วเล่า ขายของเหลือพวกคุณไม่รับผิดชอบเอง แต่บอกว่ารอ ขายหัวกะโหลกให้เข้าปากคนไทย ทั้งประเทศก่อน
2)ไม่ใช้ 3 ตัวนี้ ก็ต้องไปใช้สารพิษตัวใหม่ ตายครือกัน
-ถ้าเป็นคำพูดของเกษตรกรรากหญ้า ก็พอเข้าใจได้ เพราะเขาถูกฝังหัวเรื่องการเกษตรเคมีมาตั้งแต่เกิดจนตาย และพวกเขาคือ #ด่านแรกที่ตาย แต่ไม่เคยสำนึก หัวคิดของพวกเขามองประโยชน์เฉพาะหน้า
-ถ้าเป็นคำพูดของนักวิชาการโดยเฉพาะกรมวิชาการเกษตรก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะ บิดาแห่งการเกษตรเคมีของพวกเขานั่งอยู่ที่อเมริกาโน่น แล้วแพร่พิษร้ายทางวิชาการเกษตรให้มนุษยชาติต้องพึ่งพิงเคมีจากบิดาของพวกเขาตลอดไป กรมฯนี้จึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์มาตลอด 40-50 ปีเป็นเซลแมนให้กับบริษัทยาเคมีเกษตรตลอดมา ผลงานดีเด่นของกรมฯนี้คือจัดอบรมเกษตรกรรุ่นแล้วรุ่นเล่า พร่ำสอนแต่ว่าให้ใช้สารเคมีอย่างไร
3)สารเคมีเกษตรใช้ไปเถอะไม่เป็นไร เหมือนส้วมที่บ้านเรา เราใช้น้ำยาขัดส้วมแล้วก็ล้างทิ้งไป เคมีเกษตรก็เหมือนกัน ฉีดพ่นไปเดี๋ยวธรรมชาติก็ชะล้างไป กินเข้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร
-อ้อ ช่างเปรียบเทียบจริงๆ เปรียบปากท้องคนไทยเหมือนส้วม น้ำยาหัวกะโหลกขัดส้วมได้ฉันใด ท้องคนไทยก็เหมือนส้วม ยาเคมีเข้าได้ก็ออกได้ แล้วพระแม่ธรณีก็เหมือนกัน เธอก็เหมือนส้วม เอาเคมีราดไปไม่เป็นไร
4)แบนสารพิษใช้ในประเทศ แต่ยังนำเข้าสินค้าเกษตรเคมีจากสหรัฐฯ แปลว่าการแบนไม่มีผล สู้อย่าแบนดีกว่า
-ทำไมคุณโยงไปขนาดนั้นเล่า การทำให้ประเทศเราปลอดสารพิษ โดยไม่เป็นผู้ใช้นั้น เป็นเรื่องหนึ่ง นำเข้าอาหารเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดง่ายๆ ขั้นแรกคนไทยขอไม่ใช้สารพิษ คนอเมริกันจะใช้ก็เรื่องของคุณ ขั้นต่อไปคนไทยและสัตว์เลี้ยงไทยอยากกินอาหารสะอาด ตอนนี้ยังหาแหล่งสะอาดจริงๆ ไม่ได้ ถ้าสินค้าคุณนำเข้ามาระดับสารพิษตกค้างไม่เกินมาตรฐานเราก็รับซื้อ ถ้าตกค้างมากมายเราจะรับซื้อได้อย่างไร แต่บอกก่อนนะถ้าวันหลังเราหาประเทศอื่นที่เขาปลูกโดยไม่ใช้สารได้ เราก็จะเลิกซื้อกับคุณ มันก็แค่นั้น
การถกเถียงเรื่องสารพิษเคมีครั้งนี้ที่จริงแล้วเป็นเพียงส่วนบนของภูเขาน้ำแข็งว่าด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคลและชุมชน มีปัญหายิ่งใหญ่มหึมาซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาจมอยู่ใต้น้ำ นั่นคือ #วิถีชีวิต 2 แนวทางที่คนและชุมชนจะต้องเลือก คือการเลือกจะดำเนินชีวิตแบบธรรมชาติหรือดำเนินชีวิตอยู่กับสารเคมี
ชีวิตสารเคมีเกิดขึ้นหลังจากที่โลกถูกคุกคามด้วยปัญหาประชากรล้นโลก กลัวข้าวปลาอาหารไม่พอกิน จึงประดิษฐ์ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงขึ้นมา แต่เวลา 100 กว่าปี สารเคมีพิสูจน์ว่าเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ฆ่าคน แมลงดื้อยา แก้ปัญหาไม่ตก แต่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากชีวิตคนทั่วโลก
จึงมีความคิดทฤษฎีใหม่ที่หันคืนสู่เกษตรธรรมชาติ ซึ่งเกิดควบคู่ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จากชุมชนเป็นเมืองเป็นประเทศที่หันหาเกษตรอินทรีย์ อย่างภูฏาน สิกขิมเป็นต้น
ถ้าภาครัฐมีวิสัยทัศน์จริง ต้องเร่งสร้างแผนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ขึ้น ก็ไหนบอกว่าจะดำเนินตามรอยพระยุคลบาทเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง แล้วดำเนินยุทธวิธีทีละก้าวไปสู่ทิศนั้น ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าเตรียมการไม่พร้อม ไม่มีมาตรการรองรับ
แต่ก่อนอื่นเลย เรื่องถูกบีบคั้นด้วยกลุ่มผลประโยชน์ ภาครัฐต้องยืนหยัดเป็นตัวของตัวเอง นำพาประเทศ
ขอบคุณสถาบันทิศทางไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง