
จาก บิลลี่ ถึง บิ๊กตู่
คอลัมน์... วงในวงนอก โดย... อสนีบาต [email protected]
ทันทีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาแถลงถึงการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนกะโหลกที่พบในพื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มีสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ ซึ่งเป็นมารดาของ นายพอละจี หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาติพันธุ์เชื้อสายกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย-โป่งลึก จ.เพชรบุรี
จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า นายพอละจี หรือ บิลลี่ ซึ่งหายสาบสูญไปเมื่อห้าปีที่แล้วเสียชีวิต
ย้อนรอยสักหน่อยครับ พิณนภา หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ เคยไปร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแม้แต่องค์กรต่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ให้ช่วยติดตามการหายตัวของบิลลี่
เธอระบุว่า สามีถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวจากการเข้าไปเก็บรังผึ้งในเขตอุทยานฯ จากนั้นก็พาขึ้นรถกระบะหายตัวไป
มึนอ เคยบอกว่า “บิลลี่” มีปัญหากับเจ้าหน้าที่อุทยานบางคน จากกรณีเคลื่อนไหวปกป้องถิ่นฐานที่อยู่ปู่คออี้ และชนกลุ่มน้อย โดยเจ้าหน้าที่เข้ามากดดัน ถึงกับมีเทปบันทึกภาพ "เผาไล่ที่” และเป็นหลักฐานหนึ่งซึ่งนำไปร้องเรียนขอการคุ้มครองจากศาลปกครอง
กว่าห้าปี ที่ครอบครัวบิลลี่ต่อสู้เรียกร้องหน่วยงานราชการเพื่อคลี่คลายคดี แต่ดูเหมือนกระบวนการยุติธรรม หน่วยงานในพื้นที่เคลื่อนตัวในการทำหน้าที่อย่างช้าๆ
การหายตัวไปของ "บิลลี่” ยาวนานจนหลายคนลืมไปแล้วด้วย ทว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างประเทศก็เฝ้าจับตามองอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่ยูเนสโกยังไม่ให้การรับรองอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเป็นมรดกโลก เหตุผลหนึ่งมาจากการจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยของรัฐไทยในพื้นที่ดังกล่าวที่ยังไม่เคลียร์
เมื่อดีเอสไอรับคดีนี้มาเป็นคดีพิเศษเมื่อปี 2561 ประจวบเหมาะกับการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ทำให้เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
...อสนีบาต...พยายามต่อจิ๊กซอว์เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากดีเอสไอแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.จากคดีบุคคลสูญหายพลิกเป็นคดีฆาตกรรม 2.อธิบดีกรมอุทยานฯ เซ็นคำสั่งย้าย 4 เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่บิลลี่หายตัวออกนอกพื้นที่โดยให้เหตุผล เพื่อความสบายใจในการสืบสวนสอบสวน 3.ดีเอสไอนัดประชุมคณะทำงานเพื่อเตรียมเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์มาสอบสวนวันนี้ (9ก.ย.62)
และ 4.นักการเมืองระดับรัฐมนตรีออกมาแสดงความตื่นตัวให้ไฟเขียวสะสางคดีให้เป็นที่ยุติ
ฟังความจาก สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม บอกว่า “คดีนี้ไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูแน่นอน ไม่มีใครแทรกแซงการทำงานได้ ที่สำคัญ ดีเอสไอต้องเร่งสร้างผลงาน และภายใน 1-2 วันนี้ กระทรวงยุติธรรมจะประชุมเยียวยาครอบครัวบิลลี่ ซึ่งเข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย”
แม้แต่ “รมต.ท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบเรื่องป่าไม้สิ่งแวดล้อม ให้ไฟเขียวกรมอุทยานฯ ร่วมกันสะสางคดีอย่างตรงไปตรงมา
เป็นจังหวะเดียวกับที่ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน ต่างออกมาเรียกร้องผลักดันให้รัฐเร่งออกกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
ทั้งหมดทั้งปวง "คนวงใน” สดับตรับฟังความเป็นไปของคดีนี้รวมถึงติดตามปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่อย่างใกล้ชิดไม่ละสายตา พร้อมให้หลักประกัน "คดีบิลลี่” ต้องได้รับการคลี่คลาย “ชนกลุ่มน้อย” ที่อยู่ในป่าใหญ่แก่งกระจานจะต้องได้รับความยุติธรรม
คนวงในที่ว่านั่นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ในเมื่อท่านเป็นหัวขบวนกำกับดูแลการทำงานหน่วยงาน "ดีเอสไอ” โดยตรงนั่นเอง