คอลัมนิสต์

"ค่าโง่โฮปเวลล์"... คนทุจริตอยู่ไหน

"ค่าโง่โฮปเวลล์"... คนทุจริตอยู่ไหน

06 มิ.ย. 2562

คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... ร่มเย็น

 

    

 

     

          ไขข้อข้องใจ “โฮปเวลล์” สร้างไม่เสร็จ ทิ้งเสาตอม่อไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความอัปยศ แล้วทำไมเราจึงแพ้คดี และยังต้องจ่ายค่าโง่ 11,888 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ ซึ่งเป็นเอกชนอีก

 

 

          ว่ากันว่า... จุดเริ่มต้นของการเรียกร้องค่าเสียหาย เกิดขึ้นในปี 2547 ภายหลังการบอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการในปี 2541 เนื่องจากก่อสร้าง 7 ปี โครงการมีความคืบหน้าเพียง 13.77% ขณะที่แผนงานกำหนดว่าควรมีความคืบหน้า 89.75% การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ถือว่าโครงสร้างทุกอย่างตกเป็นกรรมสิทธิ์ จึงมีความพยายามนำโครงสร้างบางส่วนมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม รังสิต-บางซื่อ ขณะที่โฮปเวลล์เห็นว่าเป็นการยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่สัมปทาน


          เท่าที่ได้รับฟังจากเวทีสัมมนาทางวิชาการ บทเรียนกรณีศึกษาคดีโฮปเวลล์ จัดโดยสมาคมนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ศ.อนันต์ จันทรโอภากร กรรมการกฤษฎีกา  บอกว่า ประเด็นข้อกฎหมายที่น่าสนใจในคดีโฮปเวลล์ คือ การคัดค้านของรัฐในประเด็นใด ต้องทำตั้งแต่อยู่ในชั้นองค์คณะอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่ไปนั่งเฉยๆ รอไปค้านในชั้นศาล ทำแบบนี้ก็ต้องถูกกฎหมายปิดปาก ทุกอย่างมันทำตรงปลายน้ำไม่ได้ ต้องทำตั้งแต่ต้นทาง

 

          เราชอบเรียกกัน “คดีค่าโง่” หมายถึงอะไร ใครโง่ เพราะว่าถ้าพิสูจน์ได้ว่าสัญญาหลักเป็นโมฆะเพราะเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต แล้วจะให้รัฐจ่ายค่าเสียหายได้อย่างไร วันนี้ศาลปกครองตัดสินแล้วให้รัฐจ่าย 11,888 ล้านบาท แต่มันไม่ใช่แค่นั้น คดีฟ้องกันเป็น 10 ปี บวกดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี คนไทยตายน่ะ


 


          ในทางปฏิบัติ การริเริ่มโครงการต้องมี 3 ขั้นตอน 1.คนสร้างโครงการหรือตัวชง ไม่มีทางที่รัฐมนตรีหรือนักการเมืองจะชงเอง 2.ขั้นตอนการลงนามในสัญญา 3.การบริหารสัญญา ต้องตรวจสอบไปใน 3 ขั้นตอน


          อย่าง “คดีคลองด่าน” คนทำหนีออกนอกประเทศ รัฐไม่จ่ายค่าเสียหายเพราะมีการทุจริต ส่วนกรณี “โฮปเวลล์” “คนชง” อาจยังไม่ตาย แต่ดูเหมือนเราไม่สนใจจะสืบค้นว่าตอนทำโครงการมีความไม่โปร่งใสอย่างไร พอศาลตัดสินออกมาไม่ตรงใจก็หงุดหงิด


          ลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นนักการเมืองแพ้คดี หรือไปแข่งกีฬาแล้วแพ้ จะตอบคำถามนักข่าวอย่างไร ก็ต้องบอกว่ากรรมการไม่เป็นธรรม คนฟังพอใจ คนพูดรอดตัว


          ขณะที่ ศ.กิตติศักดิ์ ปรกติ ระบุว่า ข้อโต้แย้งที่สำคัญในการขอเพิกถอนหรืองดบังคับคำสั่งอนุญาโตตุลาการ จะมีได้ต่อเมื่อขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี 


          หากถามว่าขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน ก็ขอยกตัวอย่างคดีทางด่วนบางนา-บางปะกง ซึ่งในปี 2536 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ทำสัญญากับกิจการร่วมค้าแห่งหนึ่ง แล้วมีข้อพิพาทเรื่องการส่งมอบที่ดินล่าช้าและขอแก้ไขแบบ ทำให้ราคาสูงขึ้น กิจการร่วมค้าฯ จึงขอปรับราคาเพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท อนุญาโตตุลาการตัดสินให้จ่าย แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นว่าการบังคับของอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี เนื่องจากผู้ว่าการ กทพ.ขณะนั้น ไปรับหุ้นจากกิจการร่วมค้าฯ แห่งนั้น และยังมีพิรุธรีบร้อนทำสัญญาทั้งที่รู้ว่าส่งมอบพื้นที่ไม่ได้แน่ๆ สำนักนายกฯ จึงยื่นฟ้องคดี ต่อมาศาลชี้ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ใช้สิทธิไม่สุจริต ฎีกาปฏิเสธไม่รับคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการ แต่ก็ไม่มีการติดตามว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับหุ้นถูกดำเนินการอย่างไรบ้าง นี่เป็นบทเรียนหนึ่ง


          แล้วหลักความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี เกี่ยวกับคดีโฮปเวลล์ เป็นอย่างไร “คดีโฮปเวลล์” มีคำพิพากษาเป็นร้อยหน้า ปัญหาคือ ศาลควรตรวจสอบเหตุแห่งความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้ในคดีทางด่วนบางปะอิน ศาลปกครองสูงสุดตัดสินออกมาแบบเดียวกัน แต่คดีทางด่วนบางปะอินถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ ฝ่ายผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย ค้านให้พิจารณาลงไปในเนื้อความ ซึ่งจะพบว่า มีเหตุขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯ  อนุญาโตตุลาการตัดสินผิด เพราะยังไม่ได้นำสืบและชี้ว่ามีรายได้ที่ขาดไป เมื่อไม่มีหนี้การไปบังคับให้จ่ายจึงขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี


          แต่ “คดีโฮปเวลล์” ไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ และไม่ลงไปในเนื้อคดี ไม่ได้ตรวจสอบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคู่กรณีขัดต่อหลักความสงบเรียบร้อยฯ หรือไม่ แนวคำวินิจฉัยบอกเพียงว่าไม่มีข้อสงสัย ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ เพราะอาจมีความรู้หรือความเห็นอื่นแตกต่างไปจากที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยไว้ แต่ในคดีโฮปเวลล์เราไม่พบข้อโต้แย้งอย่างจริงจังของฝ่ายราชการว่ากรณีนี้มีพิรุธอย่างไร ศาลจึงตัดสินไปตามข้อเท็จจริงที่นำเสนอ จึงมีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอว่า อาจเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ชงคดีโดยไม่เรียบร้อย หากพบพิรุธก็ต้องดำเนินคดี ต้องมีการรับผิดทางละเมิดและทางอาญา กรณีค่าโง่โฮปเวลล์ เป็นผลประโยชน์ของประชาชน จึงต้องตรวจสอบและติดตามกันอย่างละเอียด แม้คดีตัดสินไปแล้วก็ต้องสำรวจตรวจสอบกันอย่างจริงจัง


          แม้ว่าในวงเสวนาวิชาการ จะไม่มีคำตอบ ถูก-ผิด แต่ไม่ว่าจะเป็นโฮปเวลล์ คลองด่าน หรือคดีค่าโง่อื่นๆ ต่างก็เป็นกรณีศึกษาที่สังคมควรได้รับสัญญาณว่าคนไทยควรต้องทำอย่างไร เพราะหลายอย่างยังซ้ำรอยเดิม ตรวจพบการทุจริตแต่ไม่เอาผิด ปล่อยให้ประเทศต้องแบกรับค่าโง่