
"อ.สำลี" หญิงเหล็ก.... เบื้องหลังกัญชาแพทย์ไทย
โดย ..พรรณี อมรวิพุธพนิช ทีมข่าวรายงานพิเศษคมชัดลึก
ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 7 เมษายน 2562 หน้าเพจเฟซบุ๊กและสื่อโซเชียลมีเดียของเครือข่ายภาคประชาชน พร้อมใจกันลงข้อความและรูปภาพไว้อาลัยกับการจากไปขึ้นสวรรค์ของ “ผศ.ภญ.สำลี ใจดี” ในวัย 77 ปี
ทั้งจากกลุ่มเครือข่ายนักพัฒนาสังคม เครือข่ายแพทย์เภสัชกร เครือข่ายเอ็นจีโอ เครือข่ายแรงงาน เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายเกษตร เครือข่ายสื่อมวลชน ฯลฯ
สำหรับคนที่ไม่ค่อยสนิทหรือรู้จักอาจารย์สำลีเป็นการส่วนตัว อาจรู้สึกกลัวๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงสูงวัยผมประบ่า หน้าตาดุดัน เสียงเข้มๆ พูดสั้นๆ ไม่ค่อยยิ้ม แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่คุ้นเคยจะรู้ดีว่าอาจารย์มีลักษณะเหมือนชื่อตัวเองคือ “สำลี” ที่เบานุ่มสบายสัมผัสถึงความอบอุ่นลึกๆ จากข้างใน และมีนิสัย “ใจดี” สมกับนามสกุล ด้วยนิสัยเอื้ออาทรมักช่วยเหลือจุนเจือทุกคนที่รู้จัก หรือใครก็ตามที่เข้ามาปรึกษาหารือปัญหาใดๆ ก็ตาม
บางคนแอบตั้งฉายาให้ว่า “หญิงเหล็ก” เนื่องจากอาจารย์สำลีเริ่มต้นจากเป็นอาจารย์แม่แห่งวงการเภสัชกรรมไทยก็จริง แต่ไม่ได้สนใจเรื่องปฏิรูปยาหรือสาธารณสุขอย่างเดียว เพราะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องสิทธิสตรี สิทธิแรงงานนอกระบบ การพัฒนาระบบการศึกษา ปัญหาสิ่งแวดล้อม สารเคมีในแปลงเกษตร เชื้อดื้อยา ข้าว ฯลฯ
สรุปง่ายๆ คือ ประเด็นอะไรก็ตามที่ช่วยให้ “โลก กับ มนุษย์ ดีขึ้นกว่าเดิม” อ.สำลีจะมุ่งมั่นเข้าไปสนับสนุนให้แนวคิด หรือโครงการเหล่านี้เกิดความสำเร็จเป็นรูปธรรมทันที
โดยเฉพาะโครงการสำคัญที่อาจารย์ตั้งเป้าฟูมฟักมานานหลายสิบปี แต่เพิ่งจะเห็นแสงสว่างเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นั่นคือ “โครงการกระท่อม–กัญชาเพื่อการแพทย์” แกนนำกลุ่มแพทย์เภสัชและนักวิชาการที่ช่วยกันผลักดันปลดล็อกกัญชาจากบัญชียาเสพติดให้มาเป็น “ยารักษาโรค” รู้ดีว่า อ.สำลีทุ่มเทกับโครงการนี้มากที่สุด เป็นผู้ริเริ่มและบุกเบิกให้สถาบันวิชาการและมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมมือกันทำงานวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของกระท่อมและกัญชาเพื่อช่วยรักษาชีวิตมนุษย์อย่างจริงจังมานานหลายสิบปีแล้ว
อ.สำลีเคยเปิดเผยความรู้สึกลึกๆ ในใจให้ฟังว่า การต่อสู้เพื่อเอากัญชากับกระท่อมมาใช้ทำยา แต่ละด่านยากมาก ! มีปัญหาอุปสรรคเยอะแยะไปหมด เป็นการเริ่มจากติดลบ ไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีอคติว่าพืชสมุนไพรเหล่านี้เป็นยาเสพติดอันตราย ขณะที่การรณรงค์ต่อสู้เรื่องอื่นๆ เริ่มจากศูนย์ คนไทยไม่ได้มีทัศนคติต่อต้านมากมาย เช่น การลดใช้สารเคมีเกษตร การรณรงค์สิทธิสตรี อาหารปลอดภัย เชื้อดื้อยา ฯลฯ เรื่องแบบนี้หาแนวร่วมได้ไม่ยาก แต่เรื่องเอากัญชากับกระท่อม ไม่ค่อยมีใครกล้าหรือมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ค่อยอยากออกมาเปิดหน้าต่อสู้กับหน่วยงานรัฐ ไม่กล้าเรียกร้องให้เปลี่ยนจากยาเสพติดมาเป็นยารักษาโรค ทั้งที่ยาเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่สร้างองค์ความรู้และสายพันธุ์พืชสมุนไพรเหล่านี้เตรียมไว้ให้พวกเรานานแล้ว
“พี่กระรอก” หรือ “วีระพงษ์ เกรียงสินยศ” ผอ.มูลนิธิสุขภาพไทย ผู้คลุกคลีทำงานกับหญิงเหล็กมานานกว่าหลายสิบปี กล่าวถึงความประทับใจของตัวเองว่า
“อ.สำลี 1 คน ทำงานได้เท่ากับคน 100 คน ผมไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้”
ส่วนสาเหตุที่ อ.สำลีมุ่งมั่นทุ่มเทกับกระท่อมและกัญชาเป็นพิเศษนั้น พี่กระรอกคิดว่าอาจเป็นเรื่องผูกพันหรือติดค้างในใจมานาน เพราะท่านมีรุ่นน้องเภสัชกรสนิทกันมาก ชื่อว่า ผศ.ภญ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล เป็นนักวิชาการคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ
โดยส่วนตัวแล้ว อ.สุนทรีสนใจศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของ “กระท่อม” และมีความหวังว่าจะสามารถผลักดันให้รัฐบาลปลดล็อกจากการ “ขึ้นบัญชีเป็นสารเสพติด”
“แต่ยังทำไม่สำเร็จ อ.สุนทรีก็ลาจากโลกนี้ไปก่อน เรื่องนี้อาจอยู่ในใจลึกๆ ทำให้ อ.สำลีพยายามสร้างเครือข่ายผลักดันให้กระท่อมเป็นยารักษาโรคมาตลอด แต่ก่อนไม่ได้พูดถึงกัญชากันเท่าไร คิดกันว่ากัญชาทำยากกว่าหลายเท่า เพราะกฎหมายให้เป็นยาเสพติดมีโทษรุนแรง แต่ปรากฏว่ากระแสวงการแพทย์ทั่วโลกเปลี่ยนไป เกิดการแข่งขันวิจัยผลิตกัญชาใช้รักษาโรค หลายประเทศประสบความสำเร็จช่วยคนไข้ได้จำนวนมาก ทำให้อาจารย์เปลี่ยนยุทธศาสตร์หันมาขับเคลื่อนกัญชาให้เป็นยาก่อน แต่ก็บอกลูกศิษย์ทุกคนว่าต้องไม่ลืมปลดล็อกกระท่อมด้วย อ.สำลีสอนให้พวกเราพูดติดปากไว้เลยว่า โครงการกระท่อมกับกัญชา กระท่อมกับกัญชาๆ ๆ"
“อ.สำลี” เริ่มคิดวางแผนปรับยุทธศาสตร์อย่างจริงจังเมื่อประมาณ 2–3 ปีที่แล้ว ด้วยการวางกลยุทธ์สร้าง 5 กลุ่มเครือข่ายเป็นแกนหลักขับเคลื่อน ได้แก่ 1.กลุ่มนักวิชาการ เภสัชกร แพทย์ นักกฎหมาย 2.กลุ่มภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอ 3.กลุ่มหน่วยงานราชการ 4.เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน และ 5.กลุ่มสื่อมวลชน
หญิงเหล็กอยู่เบื้องหลังคอยให้การสนับสนุนทุกกลุ่ม ชี้แนะช่องทางให้แต่ละกลุ่มไปทำเรื่องที่ตัวเองถนัด โดยช่วยหาปัจจัยสนับสนุนทั้งด้านทุนวิจัย แหล่งข้อมูล และปัจจัยอื่นๆ ทุกๆ เช้าจะตื่นขึ้นมาติดตามข่าวสารจากสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ สื่อโซเชียล แล้วนำความเคลื่อนไหวหรือนำประเด็นที่มีประโยชน์ส่งไปยังกลุ่มไลน์ หรือห้องไลน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
“ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา หนึ่งในศิษย์รักคนสนิท ผู้ร่วมทำโครงการต่างๆ กับ อ.สำลี มาตลอด เล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นผู้มีพลังมหาศาล และมีนิสัยพิเศษ 3 อย่าง คือ 1.ทุ่มเทเพื่อผู้อื่น 2.กัดไม่ปล่อย 3.ชอบอยู่เบื้องหลังไม่ออกหน้า
“รู้จัก อ.สำลี ครั้งแรกตั้งแต่เป็นลูกศิษย์เรียนเภสัชฯ ที่จุฬาฯ ประมาณปี 2515 ตอนนั้นพวกเรามีกิจกรรมประท้วงหลายครั้ง จนกลายเป็นข่าวฮือฮา อ.สำลีช่วยดูแลพวกเรา เอาอาหารมาให้ อยู่กับพวกเราถึงค่ำๆ มืดๆ ในคณะ พอเรียนจบก็แยกย้ายไปเรียนต่อ แล้วก็กลับมาช่วย อ.สำลี อีกครั้ง เริ่มจากตั้งวงเล็กๆ คุยกันว่าจะทำอะไรกันดี เช่น ไปทำเรื่องสมุนไพรไทย การแพทย์จีน อาจารย์มองไกลรู้ล่วงหน้าถึงอนาคต เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการมองเห็นอนาคตว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง มีความรู้กว้างขวาง มีความคิดกว้างไกลในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่องยาอย่างเดียว เช่น สิ่งแวดล้อม ล่าสุดไม่สบายนอนในโรงพยาบาลก็โทรสั่งเรื่องพีเอ็ม 2.5 ตลอดเวลา ถามว่าใครมีข้อมูลอะไรถึงไหนแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเอาอย่างไร
“หลายคนไม่รู้ว่าท่านเป็นคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้กัญชาและกระท่อมเป็นยารักษาโรค ถ้าไม่มี อ.สำลี เรื่องยากัญชาในไทยคงไม่ก้าวหน้ามาได้ถึงขนาดนี้ เหมือนในอดีตก็เป็นคนแรกที่ริเริ่มปัดฝุ่นศึกษานวดแผนไทย ตอนนั้นมีปัญหาคนไทยติดยาแก้ปวดชนิดซอง ท่านพยายามคิดวิธีแก้ปัญหา จนกระทั่งไปเจอความรู้โบราณที่ใช้การบีบนวดเป็นทางเลือก ตอนนั้นมีแต่พวกนวดเพื่อความบันเทิง เราก็ช่วยกันปลุกปั้นทำนวดแผนไทย ศึกษาวิจัยต่างๆ ถือเป็นกลุ่มแรกที่ทำสำเร็จ หน่วยงานรัฐก็เอาไปขยายผล ทำให้นวดแผนไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถึงทุกวันนี้พวกเรายังชอบแซว อ.สำลีบ่อยๆ ว่า ท่านไม่เคยกินสมุนไพรเลย และไม่ชอบนวดด้วย แม้เป็นเจ้าของความคิดบุกเบิกขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้มาก็ตาม”
ผศ.ภญ.นิยดา เล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อ อ.สำลี หลังตะลอนๆ ไปทั่วประเทศ ทำโครงการและเปิดมูลนิธิต่างๆ ด้วยกันมานานไม่ต่ำกว่า 30–40 ปี ว่า
สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือ เรื่องสิทธิบัตร เพราะท่านมองเห็นจุดสำคัญบางอย่างได้เร็วและทะลุปรุโปร่งมาก และด้วยความเป็นคนกัดไม่ปล่อย พอสนใจเรื่องอะไรก็ทุ่มเทเต็มที่ ปัญหา พ.ร.บ.สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2522 อเมริกามากดดันให้ไทยทำตาม ตอนนั้นเจ้าหน้าที่รัฐไทยยังไม่รู้เรื่อง ทำให้มีปัญหาในการออกสิทธิบัตร คนไทยจึงเสียผลประโยชน์หลายอย่างจนถึงวันนี้ เช่น อุตสาหกรรมยาของไทยล่าช้า และปัญหาเรื่องราคา กับการเข้าถึงยา
ไม่ต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน “อ.สำลี” กำลังเป็นห่วงมากในเรื่องกัญชาและกระท่อม กลัวว่าจะสุดท้ายไทยจะเสียเปรียบต่างชาติอีกครั้ง
“พวกเราชอบบ่นอาจารย์ว่าทำอะไรหลายเรื่องเยอะแยะพร้อมกันไปหมด ท่านจะเถียงทันทีว่า ไม่ได้ๆ ต้องรีบทำ เดี๋ยวจะไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบทำให้มากที่สุด”
เมื่อปี 2554 หลังจาก “อ.สำลี ใจดี” ได้รับรางวัลเกียรติยศ “คนดีของแผ่นดิน” ลูกศิษย์คนสำคัญคือ “ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์” ได้แต่งบทกวียกย่อง โดยมีท่อนหนึ่งที่สามารถบรรยายความรู้สึกที่มีต่อท่านไว้อย่างสมบูรณ์
สำ คัญคือ ศรัทธา พามุ่งมั่น
ลี ลาลั่น เพื่อคนยาก ฝากให้ฝัน
ใจ เธอสูง เทียบเทียมฟ้า ฝ่าประจัญ
ดี นิรันดร์ เพื่อประชา ถาวรการ
จากวันนี้ไปเครือข่ายทั้ง 5 กลุ่มของ “อ.สำลี” คงต้องรวมพลังช่วยกันต่อสู้ทำโครงการสุดท้ายของท่านให้สำเร็จ
ด้วยการนำภูมิปัญญาความรู้ “กระท่อมและกัญชา” ของบรรพบุรุษไทย มาพัฒนาเป็นยารักษาโรคที่มีประสิทธิผล เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ