เพลงหนักแผ่นดินทำเอาบ้านเมืองระอุ นึกถึงเพลงปฏิวัติยุคที่มีการต่อสู้ของฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา ที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทั้งในสภา บนท้องถนน และในป่าเขา!
000 พลันที่ “พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก แนะนำให้นักข่าวไปฟังเพลง “หนักแผ่นดิน” บรรดาทีมงานกองบรรณาธิการข่าวของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลแต่ละแห่ง ก็กรูเข้าไปขอความรู้จากลุงกูเกิล จึงทราบที่มาของเพลงดังกล่าว บางคนอาจแวะเข้าไปอ่านบทความเก่าๆ ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เกี่ยวกับเพลงปลุกใจของฝ่ายขวา
000 ก่อนที่จะสรุปว่าเพลงหนักแผ่นดิน เป็นเพลงปลุกระดมให้ลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มนวพล ออกมาชุมนุมต่อต้านศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ช่วงก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ต้องเข้าใจบริบทสังคมไทยในภาพรวม ระหว่างปี 2517-2519 ซึ่งเป็นการต่อสู้ของฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา ที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทั้งในสภา บนท้องถนน และในป่าเขา
000 สองฝ่ายเปิดแนวรบด้านวัฒนธรรมอย่างแหลมคม “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” (สปท.) อาวุธสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในการทำสงครามข่าวสารกับรัฐบาลไทยสมัยนั้น กลายเป็น “วิทยุใต้ดิน” ที่ฝ่ายซ้ายในเมืองรับฟังกันคึกคัก โดยสถานี สปท. จะเปิดรายการข่าวด้วยเพลง “ภูพานปฏิวัติ” ทุกช่วงการออกอากาศจากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
000 ห้วงเวลาเดียวกัน วงดนตรีของนักศึกษามหิดล ยังนำเพลงรำวงปฏิวัติ “บ้านเกิดเมืองนอน” ที่ออกอากาศในสถานี สปท. มาดัดแปลงคำร้องบางท่อน แล้วก็พากันร้องในทุกเวทีการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นม็อบกรรมกร และม็อบชาวนา
000 ปี 2518 กรมการสื่อสารทหารบก กองทัพบก ได้ผลิตเพลง “หนักแผ่นดิน” คำร้องโดย พ.อ.บุญส่ง หักฤทธิ์ศึก และ ส.อ.อุบล คงสิน และศิริจันทร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ขับร้อง โดยเริ่มเผยแพร่ครั้งแรกทางสถานีวิทยุ จ.ส. (สะพานแดง) และเครือข่ายทั่วประเทศ ถัดจากนั้น เพลงหนักแผ่นดินกลายเป็นประจำการอบรม “ลูกเสือชาวบ้าน” ทุกจังหวัด
000 ฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาห้ำหั่นกัน จนเสียเลือดเสียเนื้อทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งสถานการณ์สากลพลิกผัน จีนหยุดการช่วยเหลือ พคท. และสั่งปิดสถานีวิทยุ สปท. พร้อมกันนั้น รัฐบาลเปรม ดำเนินนโยบาย 66/2523 ส่งผลให้ “คนป่า” ออกมามอบตัวเป็นจำนวนมาก เมืองไทยจึงกลับคืนสู่สันติสุขอีกครั้ง
000 เวลานี้ นักเลือกตั้งทุกพรรคตกอยู่ในอาการ “หวาดผวา” หาเสียงไป ก็พะวักพะวนไป เพราะเกรงจะไม่มีการเลือกตั้งตามข่าวลือ สำหรับ “พรรคประชาภิวัฒน์” กลับมีความพร้อมมาก โดยส่งผู้สมัคร ส.ส.ครบทั้ง 350 เขต ทั่วประเทศ แทบไม่น่าเชื่อพรรคน้องใหม่ ที่มี “สมเกียรติ ศรลัมพ์” เป็นหัวหน้าพรรค จะเข้มแข็งปานนี้
สมเกียรติ ศรลัมพ์
000 ดังที่รู้กัน สมเกียรติ ศรลัมพ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, อดีต ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน และอดีต ส.ว.นครสวรรค์ เป็นนักเคลื่อนไหวสายพระพุทธศานา ครั้งหนึ่ง “สมเกียรติ” เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เเละสมเกียรติเองก็เคยลุกขึ้นมาปกป้องวัดพระธรรมกาย
000 ยิ่งมีภาพ “พล.ต.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี” เดินเคียงข้างสมเกียรติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาภิวัฒน์ ก็ยิ่งชัด เพราะ พล.ต.ไชยนาจ อดีตนายกเปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ที่เคยออกมายืนเคียงข้างศิษย์วัดพระธรรมกาย และวันนี้ พรรคประชาภิวัฒน์ จึงเสนอนโยบาย “1 ตำบล 1 สำนักงานพระสังฆาธิการ” และจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา
พล.ต.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี
000 ทัพใหญ่เพื่อไทย มุ่งหน้าสู่อุบลราชธานี “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” พร้อมกับ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ก็พุ่งไปเปิดเวทีปราศรัยในเขตเลือกตั้งที่ 4 อ.เดชอุดม ช่วยผู้สมัคร ส.ส.เต็งหนึ่งของพรรคคือ “เอกชัย ทรงอำนาจเจริญ” การันตีโดยเสี่ยเกรียง กัลป์ตินันท์
เอกชัย ทรงอำนาจเจริญ
000 เมื่อปี 2554 “เอกชัย ทรงอำนาจเจริญ” ลูกชายคนสุดท้องของร้านตั้งเพชรรัตน์ อ.เดชอุดม เอกชัยจบปริญญาโทด้านการจัดการวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย สวมเสื้อพรรคประชาธิปัตย์ลงสนาม แต่พ่ายความเก๋าของ “ตุ่น จินตะเวช” อดีต ส.ส.อุบลฯ 8 สมัย แต่เอกชัยก็ได้มา 26,091 คะแนน เที่ยวนี้ ย้ายค่ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย
อรนุช กับลูกสาว ตวงทิพย์ จินตะเวช
000 เขตที่ 4 อ.เดชอุดม กลายเป็นสงครามศักดิ์ศรี “คนบ้านเดียวกัน” พรรคพลังประชารัฐ ส่ง “บิว ตวงทิพย์ จินตะเวช” ลูกสาวกำนันตุ่น กับแม่อรนุช จินตะเวช รักษาการนายก อบจ.อุบลฯ ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ส่ง “ส.จ.หนุ่ย อัครพล จินตะเวช” ลูกชายกำนันตุ่นกับภรรยาอีกคนหนึ่งลงชิงชัย กลายเป็นศึกบ้านใหญ่บ้านเล็ก
อัครพล จินตะเวช ลูกชายกำนันตุ่นต่างมารดากับตวงทิพย์
000 การเลือกตั้งปีนี้ เกิดศึกสายเลือดมากมายหลายเขตเลือกตั้ง ก็ไม่รู้ว่า นักเลือกตัั้งจอมเก๋า คิดอะไรกันอยู่ จึงเล่น “ไพ่หลายใบ” หรือประเมินว่า สภาชุดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน จึงออกอาการ “แทงกั๊ก” ทั้งแผ่นดิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง