คอลัมนิสต์

ทุกฝ่ายควรเปิดใจกัน ไม่ควรมีเงื่อนตาย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  ทีมข่าวการเมือง เครือเนชั่น

 

 

          “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวกับเครือเนชั่นถึงเส้นทางของพรรคในวันนี้ที่การแข่งขันบนถนนการเมืองสูงยิ่ง

 

          “ชาติพัฒนา“ วันนี้ยังยึดโมเดลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคคนแรกมาทำงานการเมือง เพราะ ”น้าชาติ” เล่นการเมืองแบบเป็นมิตรกับทุกฝ่ายและยังใช้แคมเปญ ชาติพัฒนา “No problem” ไว้หาแต้ม

 


          “คราวนี้ผมไม่หวังจะเป็นตำแหน่งอะไร ทำงานการเมืองกว่า 30 ปี ทำงานใน ครม. 12 ครั้ง อยู่มาหลายรัฐบาลแล้ว วันนี้อายุ 64 ปีแล้ว ไม่ปรารถนาอะไร แต่เมื่อมีโอกาสทำงาน สิ่งใดทำให้บ้านเมืองมีความสุขก็จะทำ เพราะน้าชาติสั่งไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตว่า “พรรคนี้เป็นของคนโคราช วันใดผมไม่อยู่ คุณต้องดูแล”


          การทำงานการเมืองของน้าชาติที่พรรคยึดเป็นแนวทางนั้น วันนี้บ้านเมืองมีปัญหา การที่พรรคไปฟังเสียงชาวบ้านสิ่งที่รับมาคือปัญหาเศรษฐกิจ และขอให้หยุดความขัดแย้งทางการเมือง


          สมัยที่น้าชาติแก้ปัญหาในอินโดจีน น้าชาติแปรวิกฤติเป็นโอกาส เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทุกอย่างสงบเลย เพื่อนบ้านเลิกทะเลาะ เมืองไทยนั้นได้ประโยชน์เพราะการลงทุนและเศรษฐกิจดีมากในตอนนั้น จนได้เมืองไทยฉายาเสือตัวที่ห้าของเอเชีย

 

          วิธีทำงานการเมืองของน้าชาติคือไม่สร้างศัตรู เลือกตั้งชนะหรือแพ้เพียงเสียงเดียวทุกอย่างต้องจบ มันจะถ่วงดุล การเมืองต้องจบเป็นยกๆ ไป ยุบสภาแล้วทุกอย่างจบ แล้วว่ากันใหม่ แบบนี้จะมีเพื่อน


          พรรคชาติพัฒนาเข้าได้กับทุกคนเพราะยึดแนวทางนี้ คนอื่นๆ ก็จะรักพวกเรา"


          สมัยที่ พล.อ.ชาติชายทำงานการเมือง ที่บอกว่ามีแต่เพื่อน จนแทบไม่มีการตรวจสอบโครงการต่างๆ ในรัฐบาลยุคนั้น ทำให้โดนข้อกล่าวหาบุฟเฟ่ต์คาบิเนตและเป็นหนึ่งเหตุผลที่ รสช.ยึดอำนาจ ?

 




          “สิ่งที่ระบุ เมื่อเรื่องนี้เข้าสู่การตัดสินของศาลก็พบว่า ไม่มีการดำเนินการลงโทษคนที่โดนกล่าวหา ผมพูดจากข้อเท็จจริงตามที่ศาลตัดสินในเรื่องนี้


          หลังโดนยึดอำนาจน้าชาติทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คืออยู่นิ่งๆ ไปอยู่อังกฤษ จนถึงวาระที่กลับเมืองไทยได้ น้าชาติก็กลับมาทำงานการเมือง ฝ่ายที่ยึดอำนาจในตอนนั้น น้าชาติก็คุยด้วยตามปกติ หากน้าชาติแค้นก็จะทำอีกอย่างหนึ่ง แต่น้าชาติไม่ทำ ตรงนี้คือสิ่งที่ผมบอกว่าการเมืองมันต้องจบเป็นยกๆ แบบที่น้าชาติสอน"


          การเมืองไทยยุคที่ผ่านมาสิบกว่าปีจนวันนี้ความขัดแย้งมาจากอะไร?


          “วันนี้เศรษฐกิจและสถานการณ์ทั่วโลกเป็นอย่างไร หากเกิดอะไรขึ้น มันกระทบเมืองไทยหมด เป็นไปตามกลไกโลก ทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบ แต่เมืองไทยมีภัยภายในคือความขัดแย้งทางการเมืองที่มีหลายปัจจัย


          สมัยที่ผมทำงานการเมืองใหม่ๆ มีหลายพรรค รู้จักกันหมด ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร เลือกตั้งเสร็จทุกคนและทุกพรรคมีอำนาจในตัวแบบถ่วงดุลกันได้ และมีการให้เกียรติกัน ตอนนั้นเป็นรัฐบาลผสมไม่มีใครเด่นกว่าใคร


          แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา การแข่งขันทางการเมืองเปลี่ยนเป็นแข่งขันด้วยนโยบายเป็นครั้งแรกๆ จนเกิดรัฐบาลพรรคเดียวได้เสียงข้างมาก พรรคอื่นๆ กลายเป็นไม้ประดับในแจกัน และจำนวนลดลงจนเหลือสองพรรคใหญ่ สองพรรคนั้นก็สู้กันเอง เป็นเกมที่แข่งขันสูงเพราะคนแพ้กับคนชนะอยู่กันคราวละสี่ปี”


          เหตุดังกล่าวนั้นทำให้เกิดการยึดอำนาจ ในมุมมองส่วนตัวเป็นเพราะอะไรและสมควรเกิดขึ้นหรือไม่ ?


          “การเมืองยุคก่อน มีพรรคขนาดกลางเยอะและมีหลายขั้ว จนมีอำนาจต่อรองกัน ถ่วงดุลกัน หากถามว่าเป็นแบบนั้นมันไร้การตรวจสอบและซูเอี๋ยกันหรือไม่ ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะคิดและทำ แต่เมื่อคบกันมันมีระบบถ่วงดุลกันเอง ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร แต่เมื่อการเมืองเหลือสองขั้ว ตามทฤษฎีและสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีพรรคใดชนะและพรรคใดแพ้ในช่วงสิบปีเศษมานี้


          เมื่อเป็นแบบนี้ทุกฝ่ายก็ใจร้อน เร่งเกมเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแพ้จนกระทบกระทั่งกัน ความเป็นมิตรลดลงจนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง”


          การยึดอำนาจล่าสุดเพราะมีข้อหาว่ารัฐบาลทุจริต ?


          “ชนวนมาจากอะไร ผมพูดบนพื้นฐานว่าวันนั้นยังไม่มีข้อหาทุจริตนะ(การรับจำนำข้าว) ชนวนที่แท้จริงเพราะพรรคใหญ่ในตอนนั้นใช้อำนาจและคะแนนนิยมที่นำไปสู่การตัดสินใจบางเรื่องที่ไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่ง (ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม) เมื่อมีสองมุมมองแบบนี้ไม่ว่าด้วยเจตนาหรืออุบัติเหตุ มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าใช้เสียงข้างมากที่ไม่ฟังเสียงข้างน้อยแบบเกินไป และนำข้อขัดแย้งออกนอกสภาจนเกิดเรื่องไม่พึงประสงค์


          ผมมองแบบคนการเมือง หากวันนั้นทุกอย่างจบในสภา ยึดกติกา ทุกฝ่ายไปแก้เกมกันใหม่บนกติกาและไปขอโอกาสชาวบ้าน มันจะจบแบบไม่มีข้อขัดแย้ง สิ่งใดที่รัฐบาลทำไม่ดี ส.ส.จะไปบอกชาวบ้าน แล้วชาวบ้านจะกดดันรัฐบาลนั้นๆ เอง


          วันนั้นได้บทเรียนหลายอย่าง เช่น หากใครทำงานดี จะอยู่ครบสี่ปี ชาวบ้านตัดสินเอง เพราะวันนี้ชาวบ้านรับรู้และจดจำกันดีมาก ระบบที่ชาวบ้านคือผู้ลงคะแนนนั้นมีอำนาจตัดสินและทุกฝ่ายต้องเคารพ”


          เลือกตั้งครั้งนี้จะอยู่ฝ่ายใด และที่ผ่านมาสังคมมองว่าพรรคชาติพัฒนาแทงกั๊กทางการเมืองเสมอ ?


          “พรรคบอกแล้วว่ายึดแนวทางไม่มีปัญหาของน้าชาติทำงาน การเมืองวันนี้เงื่อนไขเยอะ ทุกฝ่ายควรเปิดใจกัน ไม่ควรมีเงื่อนตาย แม้วันนี้มีสองฝั่งการเมือง แต่พรรคของผมไม่ข้ามอาณาเขตใคร พรรครู้ว่าเราไม่ควรมีเงื่อนไขและเงื่อนตายบนเวทีการเมือง


          วันนี้ใช้กติกาใหม่ในการเลือกตั้ง เช่น บัตรใบเดียว, ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกฯ เป็นต้น หากวันนี้มีเงื่อนไขกันเยอะการเมืองจะมีปัญหา วันนี้ทุกฝ่ายควรหลวมๆ กัน ลืมอดีต ผมแนะนำคนอื่นไม่ได้ ให้ทำตามทั้งหมดไม่ได้ แต่ผมยืนยันว่าจะไม่สร้างปัญหา"


          บทบาทของชาติพัฒนาจะยังเป็นพรรคตัวแปรที่พร้อมร่วมรัฐบาลได้ทุกเมื่อหรือไม่?


          "คนตัดสินใจคือชาวบ้าน แต่ผมและพรรคจะเลือกสิ่งดีที่สุดให้บ้านเมือง พรรคทำงานตามกติกา หากไปถึงจุดสุดท้ายที่ควรตัดสินใจเพื่อบ้านเมืองและตรงกับสิ่งที่พรรครับปากชาวบ้านไว้ หากสิ่งใดที่พรรคตัดสินใจ ความขัดแย้งต้องไม่มี ผมบอกแบบนี้เพราะเคารพทุกฝ่ายและไม่เจาะจงไปที่ใคร”


          “พรรคยึดหลักผลประโยชน์ของประชาชน แม้จะถามว่าหลังเลือกตั้งแล้วจะมีการแบ่งฝ่ายกันอีกไหมนั้น ผมไม่อยากเห็นนะ เลือกตั้งแล้วการเมืองควรจบ ไม่ควรมีเงื่อนตายกัน ควรยึดกติกา รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติมาแล้ว ทุกคนควรเคารพ หากฝ่ายใดชนะแล้วอ้างเงื่อนไขบางอย่าง ย้ำว่าชาวบ้านรับรู้และมีปัจจัยตัดสินใจ ชาวบ้านเจ็บปวดกับการเมืองมามากแล้วในช่วงที่ผ่านมา คราวนี้ชาวบ้านจะใช้เข็มบ่งเสี้ยนที่คาอยู่ออก ผลที่ออกมาทุกฝ่ายควรยอมรับ แม้วันนี้จะมีการแบ่งฝ่ายกันกลายๆ แต่สิ่งเดียวที่ขอย้ำคือควรยึดการตัดสินใจของชาวบ้านที่ให้คำตอบ"


          หากพรรคมีคนทำงานครบทุกด้าน เลือกตั้งคราวนี้หวังได้ ส.ส.กี่ที่นั่ง เพราะพรรคชาติพัฒนาในวันนี้คล้ายจะเป็นพรรคขนาดกลางที่มี ส.ส.ขนาดย่อม การจะทำให้พรรคกลับมาสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้งจะใช้วิธีใด ?


          “เลือกตั้งครั้งนี้หักปากกาเซียนได้นะ เพราะมีหลายตัวแปร เช่น บัตรเลือกตั้งใบเดียว, พรรคเล็กจะส่งผู้สมัครครบไหมเพราะหากไม่ส่งคะแนนตกน้ำ, คะแนนตกน้ำก็มีผลกับส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้, การที่จะได้ 376 เสียงนั้นไม่ง่ายนะ หากมีเงื่อนไขกันมากไป รัฐบาลใหม่จะไม่มีเสถียรภาพ ชาวบ้านจะรู้สึกว่าการเมืองมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"


          “เราใช้สีส้มเป็นสีของพรรคในการหาเสียงคราวนี้ เพราะสีนี้คือสีของเมืองโคราช และสีนี้คือการผสมของสีเหลืองและสีแดง


          ผมไม่โลภ ไม่ประเมินว่าชนะมาก แม้ผมอยากได้ส.ส.มากๆ แต่ความจริงนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ขอไม่ขาดทุนพอ(ครั้งที่แล้วได้เจ็ดส.ส.) ผมเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ มองอะไรต้องมีการประเมินและตั้งเซฟตี้แฟกเตอร์ไว้รองรับเสมอ


          พรรคนี้ทำการเมืองแบบมองของจริงไม่สร้างภาพ ไม่ใช้กลไกการตลาด สิ่งใดทำได้ก็บอกชาวบ้านไป ย้ำว่าพวกเราทำเพื่อให้บ้านเมืองคลี่คลายปัญหา พวกเราไม่เล่นนอกกติกา เพราะผมอยากให้คนในพรรคและคนอื่นๆ ที่ทำงานการเมืองแบบนักกีฬาที่เล่นตามกฎ มีน้ำใจ


          วันนี้ดีใจที่ทุกพรรคแข่งขันด้วยนโยบาย นโยบายใดที่พรรคนำเสนอ แต่พรรคอื่นนำไปใช้ ผมยินดี เพราะชาวบ้านได้ประโยชน์นะ แม้พวกผมไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ตาม”


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ