มีเหตุผลอะไร ทำไมจึงมองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนใจไม่อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ
“ยังไม่มีใครทาบทาม จะมีพรรคไหนมาเชิญหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ถ้าเชิญมาก็ต้องดูนโยบายว่าเป็นอย่างไร ถ้านโยบายไม่ดีไม่ชัดเจนก็ต้องบอก...แล้วเขาจะฟังหรือไม่” ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 ม.ค. 62) หลังถูกถามเรื่องอนาคตทางการเมือง
เป็น “ท่าทีเดิม” ที่เพิ่มเติมคือจะดูนโยบายของพรรคที่มาเชิญด้วย
แน่นอนคำพูดดังกล่าวของ “บิ๊กตู่” ก็ต้องนำไปโยงกับการแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับนโยบายทำ “ส.ป.ก.4-01” ให้เป็น “ที่ดินทองคำ” ของพรรคพลังประชารัฐ
“บิ๊กตู่” ทั้งส่งโฆษกรัฐบาลออกมาเตือน มีรัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรฯ ออกมาพูด ฝากบอกผ่าน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ ที่ใกล้ชิดกับ 4 รัฐมนตรีที่ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ และล่าสุดออกมาพูดด้วยตัวเอง
“เอกสารสิทธิ ส.ป.ก. จะเป็นโฉนดไม่ได้ ถ้าบอกทุกพื้นที่เอาไปจำนำ จำนองได้ มันก็ไปหมด วันหน้าก็ไปบุกรุกรอไว้บนเขา”
แถมบอกว่า “สั่งไปแล้วทำไมยังพูดอีก ก็เขายังไม่เข้าใจก็ต้องพูดอีก”
ท่าทีดังกล่าว ยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสที่ว่า “บิ๊กตู่” อาจจะเปลี่ยนใจไม่ลงไปอยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบกับคนในพรรคพลังประชารัฐยังแสดงความมั่นอกมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมาอยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐแน่นอน
สอดคล้องกับคำประกาศของ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” โฆษกรัฐบาล ที่วันก่อนไปขึ้นเวทีหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ที่บอกว่า “ไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ จะเปิดชื่อนายกฯ ของพรรค ประชาชนได้เฮทั้งประเทศ เพราะจะเป็นผู้นำที่เด็ดขาด เข้มแข็ง และพร้อมที่จะนำประเทศไทยได้”
แปลความยังไงก็ไม่พ้น “พล.อ.ประยุทธ์”
หากไม่มี “โรคเลื่อน” อีก วันเลือกตั้งน่าจะเป็นวันที่ 24 มีนาคม
อีกประมาณ 2 สัปดาห์แต่ละพรรคจะต้องเปิดตัวผู้ที่จะอยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคออกมา เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่าพรรคที่จะส่งบัญชีนายกฯ จะต้องส่งรายชื่อให้ กกต. ก่อนที่จะมีการปิดรับสมัคร ส.ส.
หากสัปดาห์นี้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง คาดว่าสัปดาห์หน้า กกต.จะประกาศวันเลือกตั้งและวันสมัคร ส.ส.ออกมา หากเป็นไปตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้จะเปิดรับสมัคร 4-8 กุมภาพันธ์
นั่นหมายถึงภายใน 17 วันนี้ จะถึง “ทาง 2 แพร่ง” ที่ “บิ๊กตู่” จะต้องเลือกแล้ว !!
คือ จะอยู่ในบัญชีนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ หรือจะถนอมเนื้อถนอมตัว และรอเป็น “นายกฯ คนนอก”
ถามว่า มีเหตุผลอะไร ทำไมจึงมองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนใจไม่อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ
เหตุผลใหญ่น่าจะมาจากสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐเอง ที่ดูเหมือนจะ “ไม่ปัง” ตามที่คาดกันไว้ตอนต้น
ช่วงแรกมีการตั้งความหวังว่าพรรคนี้อาจจะใหญ่จนเป็นอันดับหนึ่ง หลังจาก “กติการัฐธรรมนูญ” ไปลดทอนความใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่ถึงตอนนี้แม้แต่เป็นพรรคอันดับสอง เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้ ก็เริ่มมีความไม่แน่ใจแล้ว
รวมถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาแต่ละครั้ง ดูเหมือนจะเป็นลบมากกว่า เช่น เรื่องการจัดโต๊ะจีนระดมทุน จำนวน 200 โต๊ะ และมีการประกาศว่าระดมทุนได้ 622 ล้าน จนถูกตั้งคำถามถึงที่มาของเงินบริจาค มีการใช้อำนาจหน้าที่ของ 4 รัฐมนตรีไปทำให้หน่วยงานรัฐหรือใครมาบริจาคหรือไม่
ล่าสุดทางพรรคสามารถแจกแจงออกมาได้เพียงแค่ 24 ราย จำนวนเงิน 90 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมีการอ้างเหตุผลว่าเป็นการบริจาคเข้ามาภายหลัง รวมไปถึงบริษัทที่บริจาคมีคนไทยถือหุ้นไม่ถึง 50% ซึ่งพรรครับบริจาคไม่ได้
เรียกว่า “ชี้แจงแล้วไม่เคลียร์”
นี่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “บิ๊กตู่” คิดหนัก
หากลงไปแล้วพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มาเป็นอันดับสาม ความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่อยู่ในบัญชีนายกฯ พรรคพลังประชารัฐจะเอาอะไรไปขาย ? สถานการณ์ของพลังประชารัฐจะแย่ลงไปอีกหรือไม่ ?
นี่ก็เป็นคำถามที่ทำให้ “บิ๊กตู่” และผู้สนับสนุนต้องคิดหนักเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ คงต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ถ้าจะอยู่ หรือไม่อยู่บัญชีนายกฯ แล้วไปรอเป็น “นายกฯ คนนอก” เพราะอะไร ?
**ความสง่างาม
ถ้าพูดถึงเรื่องความสง่างามในการกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งของ “บิ๊กตู่” ก็ต้องบอกว่าการมาโดยช่องทาง “บัญชีนายกฯ ของพรรค” จะสง่างามกว่า เพราะแม้จะไม่ได้ลงสมัคร ส.ส. ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่การเปิดตัวอยู่ในบัญชีนายกฯ ก็ถือว่าผ่านกระบวนการประชาธิปไตยระดับหนึ่ง เพราะบุคคลที่อยู่ในบัญชีนายกฯ ก็เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเลือกของประชาชน
หากอยากได้ “บิ๊กตู่” กลับมาเป็นนายกฯ อีก ก็ย่อมจะเลือกพรรคพลังประชารัฐ
ดีกว่าเก็บเนื้อเก็บตัว ซึ่งบางคนเรียกว่า “อีแอบ” แล้วไปรอก๊อกสอง
การรอเป็น “นายกฯ คนนอก” แม้บางคนจะพยายามเรียกว่า “นายกฯ คนกลาง” แต่ย่อมเกิดกระแสคัดค้าน โดยเฉพาะหากเป็นการตั้งรัฐบาลแบบที่ไม่สอดคล้องกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา
**ความชัวร์
ถ้าพูดถึงความชัวร์ในการได้กลับมาเป็นนายกฯ อาจจะบอกได้ว่าก๊อกแรกชัวร์กว่า เพราะหากไปรอก๊อกสอง ถ้านักการเมืองสามารถตกลงจับมือกันได้ ก็เท่ากับปิดโอกาสในการกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง
นั่นคือความเสี่ยงที่ คสช.จะพลาดเป้า “ทำเสียของ” ด้วย
**แรงเสียดทาน
หาก พล.อ.ประยุทธ์ เปิดหน้าออกมาก็จะต้องโดนกระแสกดดันทันที แต่หากพิจารณาตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่าไม่ว่า “บิ๊กตู่” จะตัดสินใจไปซ้ายหรือขวา ก็จะมีกระแสกดดันโจมตีอยู่แล้ว
หากเปิดหน้าเลย ก็โดนวิจารณ์ว่าไม่เป็นกลาง กดดันให้ลาออก แต่หากไม่เปิดหน้าก็โดนวิจารณ์ว่าเป็น “อีแอบ” ไม่ตรงไปตรงมา
แต่เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา การที่ คสช.ยังอยู่มาได้ ก็พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่ากระแสเรียกร้องกดดัน ก็ไม่สามารถทำอะไร คสช.ได้มากนัก
“สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้าฯ ให้ความเห็นว่า หากมองในเชิงวิเคราะห์เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนใจไม่อยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ เพราะอาจจะทำให้เจ็บตัวน้อยกว่า
“แต่ถ้าถามว่าอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์เลือกแบบไหน ก็ต้องบอกว่าอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์เล่นการเมืองแบบตรงไปตรงมา เปิดหน้าออกมาเลย เพราะจะสง่างามกว่า”
สติธร บอกว่า จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลพบว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ หาก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในบัญชีพรรคพลังประชารัฐก็จะพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ เลยว่าประชาชนคิดอย่างไร
นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า บอกว่า จากข้อมูลที่ได้ เชื่อว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ พรรคนี้มีโอกาสจะได้ ส.ส.มากถึง 130 คน คือจาก ส.ส.เขตประมาณ 50 คน และได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมาเพิ่มอีกประมาณ 80 คน จากฐานคิดที่ว่ามีอดีตผู้สมัคร ส.ส. หรืออดีต ส.ส.จำนวนมาก แม้ผู้สมัครเหล่านี้จะไม่ชนะมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็จะสามารถได้คะแนนมาเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่ในบัญชีนายกฯ ก็น่าจะเป็นพรรคต่ำร้อย
ล่าสุดวันอังคาร (22 ม.ค.62) "บิ๊กตู่" ส่งสัญญาณ เพิ่มเติมว่า อาจจะอยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคใดพรรคหนึ่ง...
อีกไม่กี่อึดใจจะได้เห็นความชัดเจน !!
====================
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์
ดูคลิป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง