คอลัมนิสต์

จ้วดจ้าด!"บัตรพ่อใหญ่ตู่"สิฮักบ่น้อ?

จ้วดจ้าด!"บัตรพ่อใหญ่ตู่"สิฮักบ่น้อ?

15 ธ.ค. 2561

จ้วดจ้าด!"บัตรพ่อใหญ่ตู่"สิฮักบ่น้อ?

 

 

          เริ่มแล้ว! สงครามเลือกตั้ง 2562 ทันทีที่ปลดล็อกก็ออกรบ แม่ทัพนายกองโผล่หน้าสลอน “พ่อใหญ่ตู่” สวมเกราะนักการเมืองลุยสมรภูมิ บ่ยั่นข้าศึกจะพุ่งปลายหอกปลายแหลมเข้าใส่ ลึกๆ หวังได้พลังใจจากอภินิหารบัตรคนฐานราก   

 

 

          พลันที่ “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อมีการปลดล็อกการเมืองแล้ว คิดว่าก็น่าจะถึงเวลาที่จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แล้ว” ก็หมายถึงความชัดเจนทางการเมืองอีกระดับหนึ่ง


          หลังจากมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้เป็นระยะๆ ว่าชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะอยู่ในบัญชีผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ 


          ประจวบกับระหว่าง 12-13 ธันวาคม 2561 พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ จ.หนองคาย และจ.บึงกาฬ โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวปราศรัยกับประชาชนที่มาต้อนรับว่า


          “ผมมาวันนี้ ถ้าเป็นนักการเมืองเต็มตัว ผมจะบอกว่า ไม่ใช่ก็ไม่ได้ วันนี้เพราะผมบริหารประเทศ ถ้าเป็นนักการเมืองก็ดีใจ คนรักเยอะ ลุงตู่ๆ แต่รู้ไหมว่าผมเป็นทุกข์ แต่ผมยอมเป็นทุกข์ยอมตายจากตรงนี้”

 

          ปรากฏการณ์บัตรคนจน?
          ตลอดสัปดาห์ที่แล้วภาพข่าวประชาชนจำนวนมากถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เข้าแถวกดเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย จนกลายเป็นเรื่องที่โจษจันกันไปทั้งประเทศ

          คำพูดข้างต้นย่อมยืนยันความเป็นนักการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์ และได้ถูกประทับตราโดยเจ้าตัวเองเรียบร้อยแล้ว และถ้าย้อนไปชมภาพการพบปะประชาชนของ “บิ๊กตู่” ในช่วงการเดินทางไปประชุมครม.สัญจร แต่ละครั้ง บอกได้คำเดียวว่า ลีลาปราศรัยไม่แพ้นักการเมืองอาชีพ

 

 


          ปฏิกิริยาต่อมาตรการของรัฐบาลที่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย 500 บาทต่อคน มีทั้งบวกและลบ นักการเมืองฝ่ายที่ไม่เอาคสช. ดาหน้าวิจารณ์การแจกเงินชาวบ้านอย่างรุนแรง บ้างว่าผลาญเงินภาษีรัฐ บ้างว่าหาเสียงล่วงหน้า


          วาทกรรม “บัตรคนจน” กลายเป็นเรื่องการเมืองและจะเป็นประเด็นหาเสียงของนักการเมือง โดยจับเอาประเด็น “แจกเงิน 500” มาพูดถึงมุมเดียว


          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อธิบายเรื่องแจกเงิน 500 บาท ระหว่างการจัดรายการผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียง 909 งานพัฒนาภาค 2 สำนักงานพัฒนาภาค 2 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาว่า รัฐบาลดูแลผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาท และ 3 หมื่นบาทต่อปีเท่านั้น ไม่ได้ช่วยคนทั้งประเทศโดยไม่มีการจำแนกแยกแยะ


          “ผมไม่ได้เอาเงินไปแจก แต่รัฐบาลมีหลายมาตรการออกมาบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้มีรายได้น้อยซึ่งได้ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการให้เงินก็เป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่ง เป็นมาตรการระยะสั้น”


          อันที่จริงนโยบายช่วยเหลือผู้ยากไร้ของรัฐบาลประยุทธ์นั้น ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ผ่านแนวคิด “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งเป็นบัตรที่รัฐบาลมอบสิทธิให้ประชาชนคนไทยผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาค่าครองชีพ จำพวกสินค้าและบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน


          ปี 2560 รัฐบาลเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ มีผู้อยู่ในข่ายได้รับการช่วยเหลือ 11.4 ล้านราย โดยสวัสดิการที่รัฐบาลให้คือ เงินรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภครายเดือน 200-300 บาท และค่าเดินทาง 


          ที่ตกเป็นข่าวฮือฮา เมื่อ ครม.ได้เห็นชอบ 4 มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปี ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย 500 บาทต่อคน 


          ตามมาด้วยช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ สำหรับผู้มีสิทธิที่มีอายุครบ 65 ปีขึ้นไป 1,000 บาทต่อคน พ่วงด้วยค่าเช่าบ้านจำนวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้สูงอายุ


          กลยุทธ์กลบยุทธศาสตร์
          ปรากฏการณ์ “500 บาท” กลายเป็นกระแสสังคม ชาวบ้านร้านตลาดพูดจากันมากมาย แต่หลายคนลืมมองว่า กว่าจะมาถึงวันที่รัฐโอนเงิน 500 บาทให้ชาวบ้านนั้น ได้มีกระบวนการบริหารจัดการมาอย่างไรบ้าง?


          รัฐบาลประยุทธ์ เริ่มยุทธศาสตร์ประชารัฐใน ด้วยการวางกลไก มีกระบวนการที่แตกต่างจากประชานิยม นับเป็นยุทธศาสตร์ในการวางเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน เพื่อผลักดันให้เกิดพลังไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยกัน


          “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นคีย์แมนคนสำคัญในทีมเศรษฐกิจของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล 


          การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 11.4 ล้านคน ผ่านการดำเนินโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท ทั้งชาวบ้าน ร้านค้าปลีกรายย่อยในท้องถิ่น กลับฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง


          ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้จัดหาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจำนวน 28,705 ร้านค้าทั่วประเทศ สร้างอาชีพและยอดขายแล้วประมาณ 30,000 ล้านบาท มีร้านธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่องอีดีซีไปแล้ว 40,000 ร้านค้า ครอบคลุม 7,500 ตำบลทั่วประเทศ


          กลไกไม่เชื่อมโยงประชาชน
          ประเด็นบัตรคนจนถูกเชื่อมโยงมาถึงความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวบ้าน เมื่อพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มชูนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นธงนำ อีกอย่างหนึ่งพืชผลการเกษตรตกต่ำทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์ม มะพร้าว และข้าว


          นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองตรงกันว่า ปัญหาปากท้องประชาชนยังไม่ถือว่าได้รับการแก้ไขในทางโครงสร้างเท่าไหร่นัก แม้ช่วงหลังรัฐบาลประยุทธ์จะเข้ามาช่วยในเรื่องของโครงการประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน แต่ก็ยังไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง


          การมอบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนจึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การแจกเงินให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถทำได้เเละผลที่ได้ดีกว่าการให้เเบบจำกัดการใช้เงิน ซึ่งประเด็นหลักที่อยากจะช่วยคือ ลดความเลื่อมล้ำ ต้องยอมรับว่าทั่วโลกก็ทำ เเต่ต้องถูกฝาถูกตัว จึงจะมีส่วนช่วยลดเหลื่อมล้ำได้


          จะอย่างไรก็ตามนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ประเมินว่านโยบายที่จะลด แลก แจก แถมนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะเป็นที่นิยมของประชาชนและจะส่งผลต่อการหาเสียงของพรรคการเมือง เนื่องจากการตัดสินใจลงคะแนนเสียงนั้น มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง


          บทเรียนของหลายพรรคการเมืองก็มีให้เห็นแล้ว สิบกว่าปีมานี้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้นโยบายประชานิยมด้วยทั้งสิ้น แต่วันหย่อนบัตรเลือกตั้งชาวบ้านเป็นผู้ตัดสินเองว่าจะเลือกประชานิยมของพรรคใด