
แค้นนี้20ปีไม่สาย?
แค้นนี้20ปีไม่สาย? : รายงาน
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีคดีปล้นฆ่าเกิดขึ้นที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เป็นคดีดังที่คนร้ายลงมือก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยม แต่ตำรวจยังตามจับคนลงมือได้ไม่หมดและปล่อยเรื่องเงียบหายไป
กระทั่งปัจจุบันคดีนี้กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อ 1 ใน 3 คนร้ายที่หนีลอยนวลอยู่นาน 20 ปี กลับถูกทายาทของเหยื่อตามชำระแค้นจนสำเร็จ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2541 ประสิทธิ์ แซ่อื้อ และ ชาณี ทองหีบ ได้รับการติดต่อให้ไปบรรทุกไม้ยางที่บริษัทในพื้นที่ อ.พุนพิน แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าที่บริษัทไม่มีไม้ให้บรรทุก พวกเขาจึงจอดรถรออยู่ที่ด้านหน้า โดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุมาก่อนว่านี่คือการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิต
ระหว่างที่จอดรถรออยู่หน้าบริษัท กลุ่มคนร้ายได้เข้ามาพูดคุยและทำทีว่าจ้างให้ไปบรรทุกทรายแทน แต่ ประสิทธิ์ และ ชาณี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขย รู้สึกไม่ชอบมาพากลจากท่าทีผิดสังเกตของคนที่มาติดต่อ จึงได้ปฏิเสธไป
ทว่าการบอกปัดของพวกเขาไม่ได้ทำให้กลุ่มคนร้ายยอมจากไปโดยดี แต่กลับใช้อาวุธมีดจี้บังคับให้เขาทั้งสองขึ้นรถแล้วมัดมือไพล่หลัง ใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวพาออกไปจากหน้าบริษัท จากนั้นได้ใช้มีดปาดคอทั้งคู่จนเสียชีวิต ก่อนนำศพไปทิ้งที่สระน้ำริมทาง บ้านท่าตะเภา ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
ต่อมามีชาวบ้านไปพบศพแล้วแจ้งตำรวจ สภ.พุนพิน ไปตรวจสอบและสืบสวนจนนำไปสู่การออกหมายจับและสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดีได้ 2 คน คนหนึ่งคือ รุ่งรัตน์ ศรีสาคร ถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต อีกคนหนึ่งได้รับอิสรภาพหลังจากศาลยกฟ้อง
คดีนี้มีคนร้ายจริงๆ รวม 3 คน รุ่งรัตน์ ถูกศาลสั่งจำคุกไปแล้ว จึงเหลืออีก 2 คนที่ยังหลบหนีอยู่ คือ สัมพันธ์ บัวเพ็ง กับ บุญฤทธิ์ ครุฑละออง
ตอนที่ประสิทธิ์ ถูกฆาตกรรม บางรายงานข่าวบอกว่าภรรยาของเขากำลังท้องแก่ แต่ต่อมาได้รับการแก้ไขว่าเขามีลูกชายวัย 1 ขวบ 5 เดือน
ต่อมาลูกชายของเขาสามารถสอบเข้ารับราชการตำรวจได้และเริ่มลงมือสืบสวนหาข่าวฆาตกรที่ฆ่าพ่ออย่างมุ่งมั่นด้วยตัวเอง จนในที่สุดสามารถประสานตำรวจกองบังคับการปราบปรามลงพื้นที่จับกุม บุญฤทธิ์ ซึ่งขณะนี้อายุ 54 ปีแล้ว ได้ในพื้นที่หมู่ 2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ก่อนที่คดีจะหมดอายุความในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือน
“ตอนจำความได้เคยถามแม่ว่าพ่อหายไปไหน แต่แม่ไม่บอก เมื่อรบเร้าหลายๆ ครั้งจนแม่ยอมบอกว่าพ่อถูกฆ่าตาย”
ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ มากประดิษฐ์ ผบ.หมู่.กก.ปพ.บก.สส.ภ.8 เปิดใจผ่านสื่อครั้งแรกหลังจากประสาน พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. นำกำลังตำรวจกองบังคับการปราบปรามเข้าจับกุม บุญฤทธิ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เมื่อสองวันที่ผ่านมา
ตอนยังเด็ก แม่เคยถ่ายทอดความใฝ่ฝันของผู้เป็นพ่อให้เขาฟังว่า หากลูกเกิดมาเป็นผู้ชาย พ่ออยากให้ลูกได้เป็นนายร้อยตำรวจ เมื่อเติบโตมา ด.ช.อัษฎาวุฒิ ในวันนั้นจึงเลือกที่จะสานต่อความฝันของพ่อด้วยการมุ่งมั่นสอบเข้ารับราชการตำรวจให้ได้และเขาก็ทำได้ในที่สุด
ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ หรือ อาร์ม สอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ และเข้ารับราชการเป็นตำรวจป้ายแดงในตำแหน่ง ผบ.หมู่.กก.ปพ.บก.สส.ภ.8 จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ระหว่างรับราชการที่นั่น ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ เริ่มลงมือสืบสวนหาเบาะแสคนร้ายด้วยการค้นหาข้อมูลในบันทึกการสอบสวนและสอบถามจากตำรวจเก่าๆ ที่เคยทำคดีจนทราบว่าหนึ่งในคนร้ายคือ บุญฤทธิ์ หลบหนีไปหลายที่ ล่าสุดไปทำงานกบดานที่ประเทศมาเลเซียหลายปี ก่อนจะหวนกลับเข้ามาในพื้นที่เมื่อไม่นานมานี้
ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ บอกว่า ตอนบุญฤทธิ์กลับเข้ามาในพื้นที่แรกๆ นั้น มีอยู่วันหนึ่งเป็นช่วงค่ำ เขาเมาแล้วมาตะโกนเรียกแม่ตนที่หน้าบ้านซึ่งพักอยู่กับน้องสาวสองคน ส่วนตัว ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ รับราชการอยู่ที่ ภ.8 จ.ภูเก็ต
ตอนนั้นในใจของ ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ ร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟสุม เมื่อทราบข่าวจากทางบ้านว่าแม่กำลังถูกชายซึ่งเป็นฆาตกรฆ่าพ่อคุกคาม เขาก็ยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ จึงรีบสืบสวนหาเบาะแสคนร้ายอย่างหนัก ขณะที่คนร้ายนั้นพอรู้ว่า ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ เป็นตำรวจ ก็เริ่มเกรงกลัวและหลบหนีไปไม่มาคุกคามที่บ้านอีก กระทั่งต่อมา ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ สืบทราบว่าบุญฤทธิ์ไปทำงานรับจ้างขับรถไถที่สวนปาล์มหมู่ 2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จึงรีบประสานกองปราบปรามบุกเข้าจับกุมตัวได้ในที่สุด
“ดีใจมากที่จับกุมคนร้ายที่ฆ่าพ่อผมได้ คดีนี้ผมสืบสวนหาข่าวด้วยตัวเอง ผมเป็นตำรวจ ผมมีปืน แต่ผมเลือกที่จะใช้กฎหมายเล่นงานคนที่ฆ่าพ่อผม ผมไม่เคยมีความคิดฆ่าเขาให้ตายเลย”
ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ บอกความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจเกือบ 20 ปี หลังจากรู้ความจริงเรื่องพ่อจากผู้เป็นแม่และย่าเมื่อตอนเรียนอยู่ชั้น ม.3 แต่เขาก็ไม่เคยคิดล้างแค้นด้วยการเอาคืนด้วยชีวิต หากเลือกที่จะใช้กฎหมายเป็นตัวตัดสินไม่ว่าหนี้นั้นจะต้องชดใช้ด้วยอะไรก็ตาม
“ผมไม่ได้โกรธแค้นอะไรเขาเป็นการส่วนตัวนะ ตอนจับได้ก็ยังไปถามว่าเขาฆ่าพ่อผมจริงหรือเปล่า แต่เขาก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนแทงพ่อผม เพื่อนอีกคนเป็นคนแทง หากเขาไม่ได้ฆ่าพ่อผม ผมก็อยากช่วยเขานะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไปสู้คดีกันในชั้นศาล”
กระนั้น ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ ออกตัวว่า การเข้ารับราชการตำรวจเป็นความตั้งใจส่วนตัว และเป็นสิ่งที่พ่อบอกกับแม่ไว้ว่าต้องการให้เขาเป็นตำรวจ ไม่ใช่จงใจเข้ามาเพื่อทำคดีนี้เป็นการเฉพาะ และภายหลังได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ตั้งใจปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาทั้งหมด
“การตายของพ่อนั้น เพิ่งทราบเมื่อตอนอายุ 15 ปี ขณะที่เรียนอยู่ชั้น ม.2- ม.3 ก็ไม่ได้ติดใจอะไร และขณะนั้นคิดว่าคนร้ายถูกจับหมดแล้ว แต่มาทราบภายหลังในขณะที่ได้เข้ารับราชการตำรวจจากคนที่อยู่ในละแวกบ้านว่า หนึ่งในคนร้ายที่ร่วมกันฆ่าพ่อกลับมาที่บ้าน และขี่รถมาวนเวียนอยู่แถวบ้านแม่ซึ่งอาศัยอยู่กับน้องสาว ที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ล่าสุดได้ขับรถมาวนเวียนอยู่ที่บ้านเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก่อนที่จะถูกจับ"
ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ แจกแจงเหตุผลที่แท้จริงของการเลือกรับราชการเป็นตำรวจว่า ส่วนหนึ่งเป็นการทำตามความฝันของพ่อ ซึ่งตรงกับความชอบส่วนตัวอยู่แล้ว ส่วนการสืบสวนคดีของพ่อนั้นเป็นจังหวะเหมาะที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีค้างเก่า โดยเฉพาะในรายที่คดีใกล้หมดอายุความ และเมื่อเห็นว่าคดีนี้เป็นบุคคลที่มีหมายจับ จึงประสานงานกับกองปราบปรามและชุดสืบสวนในพื้นที่ตามขั้นตอน และร่วมติดตามจับกุมตัวดังกล่าว ที่ผ่านมาก็จะช่วยในการตรวจสอบค้นหาข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีติดตามจับกุมผู้ต้องหามาโดยตลอด
ขณะที่ พล.ต.ต.ชินรัตน์ ฤทธาคณานนท์ ผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ระบุว่า การจับกุมผู้ต้องหารายดังกล่าวนั้นเป็นการจับตามคดีค้างเก่าตามปกติในพื้นที่ ภ.8 ทั้งหมด โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับโดยเฉพาะ ซึ่งทุกกองกำกับจะเร่งรัดในการดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามสืบสวนจับกุม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ งานเดือนสิบ เป็นต้น โดยให้เจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามคนร้ายที่มีหมายจับคดีค้างเก่า โดยไม่ได้เป็นการเจาะจงจับกุมแต่อย่างใด
“ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ เป็นนักเรียนนายสิบ รุ่นที่ 9 โรงเรียนตำรวจภูธร 8 สำเร็จการศึกษาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และมาบรรจุที่ตำรวจภูธรภาค 8 ในตำแหน่งผู้บังคับหมู่กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้จับกุมผู้ต้องหาในคดีอื่นๆ มาแล้วหลายราย ไม่ได้จับกุมเฉพาะนายบุญฤทธิ์รายเดียวเท่านั้น”
พ.ต.อ.ภูมินทร์ ระบุว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น บุญฤทธิ์ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีจริง เมื่อรู้ว่ามีหมายจับจึงหลบหนี และไม่ได้ทำบัตรประชาชนอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา ส่วนพฤติกรรมของคดีขอให้การปฏิเสธ และจะขอต่อสู้คดีในชั้นศาล ขณะนี้ถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.พุนพิน ดำเนินการตามกฎหมาย