ษิทรา-อัจฉริยะพี่น้องป้อมแตก!!
รอยร้าวระหว่างคนเคยกอดคอกัน อย่าง "น้องตั้ม" กับ "พี่อัจ" คนไทยไม่ได้โฟกัสถึงเนื้อหาที่ซ่อนปม มากไปกว่า รู้สึกงุนงง ปนเสียดาย
เสียดายที่ฮีโร่ผู้กระชากหน้ากากในคดีหวย 30 ล้านทั้งสองคน มีอันต้องมากระชากหน้ากากกันเอง !
เหตุเริ่มจากอยู่ๆ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ลุกขึ้นมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม”โดยขึ้นหัวอย่างเร้าใจว่า “หมดศรัทธา” !!
ขณะที่ในเนื้อหา กล่าวถึงพฤติกรรมของทนายคนหนึ่ง อ่านปุ๊บแม้ไม่เอ่ยชื่อ ก็รู้ว่าหมายถึงใคร
เพราะช่วงนั้น คดีของ ดาราสาว เอมี่ อาเมเรีย จาคอป ซึ่งทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ดูแลอยู่ บทสรุปลงท้ายที่โทษเสพ มิได้ค้า ยกฟ้องดาราสาวฐานจำหน่ายยาไอซ์ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
และตั้งข้อสังเกตออกสื่ออย่างไม่เม้มว่า งานนี้ไม่ชอบมาพากล มีการวิ่งเต้นและช่วยเหลือโดยทนายและเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน
ที่สุด มีหรือคนแรงๆ อย่างทนายตั้มจะอยู่เฉย ว่าแล้วก็โผล่เข้ามาหน้าเพจแทบจะทันที ทั้งยังคอมเมนต์กลับในท่วงทำนองที่พูดถึงจุดบกพร่องในการทำคดีดังๆ หลายคดีของอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้ง
กลายเป็นการเปิดศึกจนคนไทยลุ้นนั่งไม่ติด จนเวลานี้เรื่องราวบานปลายมาสู่การยื่นหนังสือถึงนายกสภาทนายความ ตรวจสอบทนายตั้ม เกี่ยวกับการเรียกเงินลูกความเพื่อทำคดีให้
และเวลานี้สภาทนายความ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบทนายตั้มแล้ว !
อย่างไรก็ดี เรื่องราวทางกฎหมายจะลงเอยอย่างไร คนไทยยังไงก็ต้องตามต่ออยู่แล้วว่า ใครสวมหน้ากากอะไรกันแน่ !
แต่อย่างที่เกริ่นไว้ว่า เราทั้งงุนงงและเสียดาย นั่นก็เพราะฉากหลังที่คนสองคนมาบรรจบกัน ในคดีหวย 30 ล้าน ระหว่าง ครูปรีชา ใคร่ครวญ กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล
มันช่างเหมือนกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ ดูโอกู้โลก ลุ้นระทึกจนถึงวันที่ร่วมกันเฮลั่นไปพร้อมๆ กัน ในตอนจบ
และที่ผ่านมา กว่าที่คนคู่นี้จะมาเจอกัน ต่างฝ่ายก็ต่างมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา และน่าติดตามเหมือนกันทั้งคู่
เมื่อโลกบังคับให้สู้
เริ่มต้นที่ฝ่ายของ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
ที่จริงคนไทยพอจำเขาได้จาก “คดีครูจอมทรัพย์” ซึ่งเขาแทบจะเป็นคนเดียวของเมืองไทย ที่บอกว่าครูจอมทรัพย์เป็น “เด็กเลี้ยงแกะ” ไม่ใช่ “แพะ” และมี “ขบวนการรับจ้างติดคุก” !
ซึ่งภายหลังครูจอมทรัพย์ก็โป๊ะแตกตามว่า ทำให้ชื่อชั้นของอัจฉริยะยิ่งเข้าตาประชาชนมากขึ้นไปอีก
สำหรับปูมหลังของ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมรายนี้ เขาเกิดที่ จ.สุราษฎร์ธานี และจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา จากมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ รุ่นที่ 1 (ปี 2531)
แน่นอนเดิมทีเขาเป็นวิศวกรมาก่อน และที่จริงรายได้ของสายโยธาก่อสร้างก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ
แต่เหตุที่เบนเข็มมาวุ่นเรื่องกฎหมาย เพราะเขาเคยตกเป็นเหยื่อตำรวจ จากการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์หลายล้าน ธุรกิจพังพินาศ หมดเนื้อหมดตัว !
เมื่อเก็บความเจ็บปวดแต่หนหลังไว้มากพอ ก็ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ขึ้นเมื่อปี 2552 และเป็นประธานชมรมมาตั้งแต่นั้นจนบัดนี้
บางคนเรียกเขาว่า นี่ไม่ใช่ทนายแต่เป็น “ทะแนะ” หากข้อมูลบอกว่า ที่จริงเขาก็ไปลงเรียนทางกฎหมายอยู่แล้วที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
แต่ก่อนนี้ก็อาศัยหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต และไปนั่งที่ศาลเกือบทุกวันนานถึง 3 ปี ดูการว่าความทำคดีต่างๆ จนกระทั่งเปิดชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมขึ้น
ที่ผ่านมาก็ได้ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนมากมายหลักพันคดี เช่น ช่วยเหลือผู้เสียหายจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น, ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการซื้อรถฟอร์ด รุ่นเฟียสต้า และรุ่นโฟกัส ที่มีปัญหาระบบเกียร์ ฯลฯ
และถ้าใครติดตามอัจฉริยะผู้นี้ จะพบภาพลักษณ์ภายนอกของชายวัยกลางคนสวมแว่นที่สุดแสนธรรมดา แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้ติดหรูอยู่สบาย
เขาบอกว่า รายได้ที่ทำอยู่ก็มาจากการรับว่าความ และการทำคดี โดย 20% ของค่าทนายความจะนำเข้าชมรม นอกนั้นก็เป็นเงินค่าบำรุงที่เก็บจากสมาชิกที่จ่ายโดยสมัครใจ
หรือคนที่มาขอความช่วยเหลือด้านคดี จนเมื่อทำคดีให้สำเร็จ ก็จะมีสินน้ำใจตอบแทนให้
แม้แต่ลีลาการพูดจา และไลฟ์สด ใครไม่รู้จักก็เลื่อนผ่าน เพราะน้ำเสียงราบเรียบ ธรรมดา ไร้ไดนามิก ทำให้หลายคนอาจเบื่อได้ง่ายๆ
แต่ที่จริงแล้วหากใครติดตามเขาจริงๆ จะพบว่า แต่ละครั้งที่เขาออกโรง ปะฉะดะในทางคดีต่างๆ ล้วนแล้วแต่อัดแน่นด้วยข้อมูล จนมีแฟนคลับล้นหลามติดตามกันทั่วประเทศ
อย่างคดีหวย 30 ล้าน ที่เข้ามาเพราะต้องการไขความจริง ยิ่งทำให้ชื่อของ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไม่ธรรมดาอีกต่อไป !
หล่อหน้าใส ทนายประชาชน
หากเปรียบเทียบสองหนุ่มสองรุ่นเป็นจอมยุทธ์คู่ รายหนึ่งฝึกวิชาตวัดกระบี่กับสายลมแสงแดดและใบไม้ ขณะที่อีกรายหนึ่งฝึกปรือกำลังภายในกับสำนักใหญ่มีครู
แต่ต่างฝ่ายก็มีชั้นเชิงและลีลาทางกฎหมายชนิดสูสี คู่คี่ และหาตัวจับยากในยุทธจักรกฎหมายพอๆ กัน
หันมาข้างฝั่งของ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด นั้นก็มีดีกรีไม่ธรรมดา
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เกิดวันที่ 13 สิงหาคม 2523 ปัจจุบันเป็น เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม
เขามีดีกรีการศึกษา ที่จบทั้ง รัฐศาสตรบัณฑิต และนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นจบปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเกริก รุ่นปี 2555 และยังมีดีกรี เนติบัณทิตยสภารุ่น 58
ทนายตั้มเริ่มต้นอาชีพทนายในปี 2547 โดยงานในส่วนของมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ก็เป็นการช่วยเหลือเรื่องกฎหมาย ภายใต้โครงการ “ทนายพบประชาชน” และโครงการ “พี่สอนน้อง” โดยจะเดินทางไปตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อถ่ายทอดเรื่องกฎหมายเบื้องต้น รวมไปถึงชี้ให้เห็นถึงพิษภัยของยาเสพติด
ปี 2559 เขารับทำ “คดีตำรวจชุดจับกุมยาเสพติด 8 นาย ยัดยาเสพติดสองสามีภรรยาชาวแม่กลองพร้อมกับชิงสร้อยทองและเงิน” จนเปิดโปงขบวนการ สั่นสะเทือนวงการสีกากีไปทั่ว
แต่แน่นอน คดีที่ทำให้เป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ “คดีหวย 30 ล้าน" ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ กับ ครูปรีชา” ช่วงปี 2560-2561
ซึ่งคดีนี้ คนไทยได้เห็นลีลาของทนายตั้มที่พูดจาฉะฉาน โผงผาง เสียงดัง ลุยระห่ำ พาลุงจรูญเดินหน้าสู้คดีหวยชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม !
จนเมื่อทนายตั้มมาแท็กทีมกับอัจฉริยะ กระชากหน้ากากคนขี้ตั๋วได้สำเร็จ ยิ่งทำให้คนไทยกลายเป็นแฟนคลับของคนทั้งคู่
ก่อนหน้านี้ สองคนนี้แทบจะเรียกว่าเป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบาน เพราะฝ่ายผู้พี่เคยพาผู้น้องไปทำบุญ ทั้งที่วัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร และสะเดาะเคราะห์ที่ วัดห้วยมงคล หัวหิน
คนไปทำบุญด้วยกัน แน่นอนต้องเป็นเรื่องดีเป็นศรีกับชีวิต เสริมความสนิทแนบแน่นอย่างที่ไม่น่าจะมีวันแตกหักไปได้
แต่อะไรก็ไม่เที่ยง วันนี้...เรื่องราวซับซ้อนที่ฝ่ายผู้พี่เป็นผู้เปิดฉาก ตั้งคำถามไปยังอกเสื้อของน้องที่สกรีนว่า “ทนายประชาชน” นั้นของจริง หรือของเทียม ?
นำไปสู่การแฉเรื่องส่วนตัวบางอย่าง ยาวไปถึงแฟนคลับของทั้งสองฝ่ายก็กลายเป็นกองเชียร์ที่ห้ำหั่นใส่กัน
สุดท้าย...สายสัมพันธ์ก็มาถึงรอยปริแยกจนได้ !