
ครั้งสุดท้ายที่ "เขาดิน"
ครั้งสุดท้ายที่ "เขาดิน" : รายงาน โดย... จักรวาล ส่าเหล่ทู
“คุณมาสวนสัตว์เขาดินครั้งล่าสุดเมื่อไหร่? ”
แน่นอนว่าคำถามนี้ หลายๆ คนอาจจะต้องคิดนานหน่อย เพราะส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยม “สวนสัตว์ดุสิต” หรือ “เขาดินวนา” ครั้งล่าสุดก็จะเป็นสมัยเด็ก บางคนตอบเร็วหน่อยเพราะเพิ่งพาลูกน้อยไปเดินเล่นเมื่อไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนไทยจำนวนมาก ต้องเคยผ่านเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์แห่งนี้ อย่างน้อยๆ สักครั้ง เพราะเป็นสถานที่หย่อนใจ แถมยังมีความตื่นตาด้วยสัตว์หายากพันกว่าชนิด ที่หาชมได้แห่งเดียวในกรุงเทพฯ
แต่สิ้นเดือนนี้ "ตำนาน” แห่งนี้กำลังจะปิดตัวลง ก่อนที่จะไปเปิดในสถานที่แห่งใหม่
ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ต่อประชาชนชาวไทยและชาวองค์การสวนสัตว์ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานโฉนดที่ดิน 300 ไร่ ให้แก่องค์การสวนสัตว์ เพื่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ บริเวณคลองหก ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าสวนสัตว์ดุสิตเดิมถึง 3 เท่า เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมของสัตว์
เราจึงพา “เที่ยวเขาดินครั้งสุดท้าย” เพื่อบันทึกความทรงจำ ณ สถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้
โดยค่าตั๋วเข้าชมสวนสัตว์ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “บำรุงค่า อาหารสัตว์” ปัจจุบันอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 100 บาท ผู้สูงอายุ 60 บาท เด็กเล็ก 20 เท่านั้น ส่วนนักศึกษา 50 บาท นอกจากนี้ยังมีราคาของครู ทหาร ตำรวจ 50 บาทเช่นกัน แต่เงื่อนไขต้องอยู่ในเครื่องแบบเท่านั้น ส่วนผู้พิการ พระภิกษุ สามเณร เข้าชมฟรี
แต่เราขอบอกว่า ใครที่เกิดเดือนสิงหาคมนี้ลดครึ่งราคา เพียงแค่แสดงหลักฐานตอนซื้อตั๋วเท่านั้น
หากใครเคยเข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว การเข้ามาในปัจจุบันอาจจำบรรยากาศเดิมๆ ไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา สวนสัตว์แห่งนี้ มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ มีโซนจัดแสดงเพิ่มเติม
สำหรับโซนจัดแสดงสัตว์น่ารักนั้น ก็แบ่งถูกแบ่งหลายโซน เริ่มจาก ส่วนของนกยูงและไก่ฟ้า บอกได้เลยว่าโซนนี้ เราจะได้เห็นความสวยงามของนกยูงที่เดินแผ่หางสีฟ้าสวยงาม เราอาจจะเคยเห็นตามสารคดีทีวี ซึ่งของจริงก็สวยไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีโซนที่จะทำให้ผู้ชมได้ใกล้ชิดกับนกบางชนิดมากๆ เพราะกรงของมันตั้งอยู่บนพื้น อธิบายอย่างง่ายๆ เหมือนวางสุ่มไก่ตามบ้านเรือนนี่แหละ แต่กรงมีความปลอดภัย และใหญ่พอควร ส่วนนี้เองเราก็จะได้เห็นความน่ารักของ “นกพิราบหางแพน” เป็นต้น
เดินตามทางไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอส่วนจัดแสดงช้าง เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ช้างเดินได้อย่างอิสระ แต่ขณะนี้เหลือแต่ช้างเพศเมียชื่อว่า “พังจิ๋ม” ตัวเดียวเท่านั้น เพราะตัวอื่นๆ ได้รับการโยกย้ายไปยังสวนสัตว์อื่นๆ เพื่อรอให้สวนสัตว์ใหม่สร้างเสร็จ ซึ่งจะมีความปลอดภัยและกว้างกว่าเดิม
เมื่อชมความน่ารักของช้างแล้ว ใกล้ๆ ก็จะเป็นส่วนจัดแสดงนกน้ำ เราจะได้เห็น “นกฟลามิงโก้” ตัวสีชมพูสวยๆ ยืนเป็นฝูงจำนวนมาก ต้องบอกว่าตัวจริงสวยมากๆ ไม่แปลกใจที่ทำไมดีไซเนอร์หลายๆ คน ถึงจับมันไปอยู่บนเสื้อฮาวายหลายๆ ยี่ห้อ รวมถึงทำเป็นงานอาร์ตหลายๆงาน ที่แสดงถึงความสง่างาม และความรักไปในตัวด้วยสีชมพูนั่นเอง
ในโซนเดียวกันนั้นยังมีโซนของนกเพนกวิน ที่มีห้องจัดแสดงแยกเฉพาะมีสองชั้น ชั้นแรกจะเป็นบ่อน้ำเราจะได้เห็น “นกเพนกวิน” ว่ายน้ำผ่านกระจก แต่ถ้าขึ้นไปชั้นสอง เราจะได้เห็นอิริยาบถการพักผ่อนของนกเพนกวิน ถ้าวันไหนโชคดีจะมีบางตัวเดินมาหน้ากระจกคอยหยอกล้อกับคนดูด้วย เล่นเอาผู้ชมอมยิ้มไปตามๆ กัน
ถัดมาที่พลาดชมไม่ได้ และได้รับความสนใจอย่างมากคือ “หมีโคอาล่า” ที่เชื่องช้าได้เรื่องเหมือนกัน ในห้องจัดแสดงมันจะอยู่ในกระจก ที่มีต้นยูคาลิปตัส อาหารโปรด บางตัวก็กำลังเกาะต้นท่าเดียวกับตุ๊กตาของที่ระลึกจากออสเตรเลีย บางตัวก็นอนสบายใจ แต่อิริยาบถหลักของมันคือการพักผ่อน อย่าได้หวังว่ามันจะโลดโผนเลยทีเดียว
ส่วนใครที่อยากดูลิงนั้น ต้องบอกว่าถ่ายภาพได้ยากหน่อย เพราะมันซนปีนป่ายตลอดเวลา ทั้ง “ลิงกระรอก” “ชะนี” และอีกมาก ส่วน “ลิงชิมแปนซี” นั้นก็มีให้ดูเช่นกัน ใกล้ๆ กันก็ยังมีส่วนจัดแสดงเสือ ที่มีให้ชมได้ทั้งข้างล่างและข้างบนด้วยสกายวอล์กทางยาวๆ ที่กลมกลืนไปกับต้นไม้
โดยตามปกติแล้วถ้าพูดถึงเสือ หรือสิงโต เรามักจะคิดถึงสัตว์นักล่าตัวสีส้มเหลือง มีลายสลับกับสีดำ แต่ความพิเศษของสวนสัตว์ดุสิต นอกจากเสือและสิงโตปกติแล้ว ยังมีมี “เสือโคร่งขาว” ที่เกิดมาจากความผิดปกติของเม็ดสี แถมยังมี “สิงโตสีขาว” ที่หาดูได้ยาก เป็นอะไรที่ลิมิเต็ดสุดๆ ใครที่ชอบของแปลกใหม่ต้องไม่พลาดเลย แต่ขอแนะนำว่าให้มาตอนเช้าๆ เราจะได้เห็นมันเดินบ้าง เพราะถ้าไปตอนกลางวัน มันจะไม่ทำอะไรนอกจากนอน
ส่วนใครที่ชอบหมี ต้องไม่พลาดที่จะแวะมาเยี่ยมหมีที่นี่ เราจะได้เห็นหมีตัวใหญ่สีดำสองชนิดคือ “หมีหมา” และ “หมีควาย” ที่ชื่ออาจจะดูน่ากลัว แต่ตัวจริงน่ารักมากๆ ถ้าไปถูกช่วงที่มันอารมณ์ดี มันจะออกมายืนเต้นโยกหัวต้อนรับแขกที่หน้าบ้านของมัน แต่ถ้าไปช่วงเวลาเที่ยงๆ ก็เสี่ยงที่จะได้ดูมันนอนเล่นใบไม้แทน อันนี้ก็แล้วแต่อารมณ์ของหมีจริงๆ
ส่วนแสดงต่อไป อาจจะเป็นขวัญใจของผู้ใหญ่เคยเด็กหลายๆ คน เชื่อว่าชื่อของ “แม่มะลิ” ฮิปโปโปเตมัส ตัวใหญ่จะต้องลอยเข้ามาแน่ๆ ทุกวันนี้แม่มะลิก็ยังสบายดี เธอมีอายุ 50 ปีได้แล้ว หรือเทียบเท่าได้กับคนอายุราวๆ 100 ปีก็ว่าได้ แน่นอนว่าใครๆ ต่างก็คิดถึงเธอ ตัวของแม่มะลินั้นใหญ่มากๆ ออกลูกมามากมาย ใครที่คิดถึงแม่มะลิก็แวะเวียนไปหาได้เลย
นี่คือโซนของสัตว์คร่าวๆ ที่จัดแสดงไว้ในสวนสัตว์ นอกเหนือจากนี้ทางสวนสัตว์ยังได้มีจัดพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้อีกด้วย ทั้งเรื่องสัตว์น้ำ อีกทั้งยังมีโซนจัดแสดงภาพถ่ายชวนให้คิดถึงอดีต ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับจุดประชาสัมพันธ์ บริเวณประตูหนึ่ง ที่จะพาทุกคนย้อนชมอดีตผ่านภาพถ่าย ตั้งแต่สวนสัตว์เปิดใหม่ๆ จนถึงปัจจุบัน ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
นอกจากนี้ยังมีโซนประวัติศาสตร์ อย่าง “หลุมหลบภัยสาธารณะ” ที่เป็นแหล่งหลบระเบิดจากเครื่องบินฝ่าย “สัมพันธมิตร” ทิ้งใส่ “ฝ่ายอักษะ” ในสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งไทยเองไปประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรด้วย ทำให้ กทม.กลายเป็นเป้าทิ้งระเบิด ซึ่งขณะนั้นเอง เขาดินเป็นสวนสาธารณะ จึงเหมาะที่จะมีหลุมหลบภัยยามฉุกเฉิน
ปัจจุบันหลุมหลบภัยถูกรักษาเป็นอย่างดีในสวนสัตว์ โดยเปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชม แถมยังมีที่จัดแสดงข้อมูลให้ความรู้ โดยมีแบบจำลองอาวุธของทหารไทย และญี่ปุ่นจัดแสดงด้วย
อีกส่วนที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาดเลยคือ การจัดแสดงพิเศษของสวนสัตว์แห่งนี้ ซึ่งมีอยู่ 2 โชว์ด้วยกัน โชว์แรกคือ “กายกรรมจากประเทศเคนยา” โดย 6 หนุ่มชาวเคนยาอารมณ์ดี ที่จะทำให้คุณสนุกไปกับกายกรรมที่น่าตื่นใจ
สำหรับโชว์ที่สองคือ การแสดงของ “แมวน้ำแอฟริกาใต้” 4 ตัว ที่มีชื่อน่ารักๆ ว่า ติ๊ก, โบ, กอไผ่ และ บีม โดยจะโชว์รอบละ 2 ตัว ซึ่งการแสดงนั้นต้องถือว่าสนุกและตลกมากๆ หลายๆ จังหวะที่แมวน้ำแสดงนั้นราวกับตบมุกตลกคาเฟ่ ที่เตรียมจังหวะมาดีมากๆ รับรองว่าไม่ผิดหวัง ทั้งสองโชว์นั้นราคาค่าเข้าชมเบาๆ ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท แถมมีป๊อปคอร์น และน้ำอัดลมขายใกล้ๆ เวทีด้วย รับประกันความเพลิดเพลิน
นี่คือสวนสัตว์ดุสิตในปัจจุบัน
ใครที่อยากชมความน่ารักของสัตว์ หรืออยากมารำลึกความหลังยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์
จากนั้นก็รอไปพบกันใหม่ ที่สวนสัตว์บริเวณคลองหก ซึ่งกว้างขวางสะดวกสบายกว่าเขาดินถึง 3 เท่า มีความสุขทั้งคนมาเที่ยว และสัตว์ที่น่ารักๆ ทั้งหลาย ก็จะอยู่กันอย่างไม่แออัดอีกด้วย