คอลัมนิสต์

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

02 ก.ค. 2561

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว : โดย... น.ส.ศิริประภา แสงจิตร / รายงาน 

 

          หุ่นกระติบข้าวส่วนใหญ่แล้วจะออกแบบเป็นวิถีชาวนาของคนอีสาน กว่าจะได้มาแต่ละตัวใช้เวลาทำอยู่นาน หุ่นที่นำไปจัดแสดงจะใช้เชือกล็อกไว้ เพื่อให้หุ่นสามารถขยับแขน ขยับขา ได้เหมือนคน องค์ประกอบของหุ่นหนึ่งตัว ส่วนหัวจะใช้กระติบข้าวใบเล็ก นำมูลควายหรือขี้เลื่อยมาทำเป็นคิ้ว เชือกป่านทำเป็นหู ส่วนลำตัวใช้กระติบข้าวใบใหญ่

          หมอลำหุ่นคณะเด็กเทวดา โดยครูเซียง ปรีชา การุณ ณ บ้านหนองโนใต้ อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ที่นี่คือจุดกำเนิดเรื่องราวดีๆ ของหุ่นเชิดที่มีเอกลักษณ์และมีอัตลักษณ์ความเป็นอีสานอย่างเต็มร้อย ด้วยการนำเอากระติบใส่ข้าวเหนียวมาประกอบ ดัดแปลง และประดิษฐ์ให้เป็นตัวละคร เพื่อนำมาแสดงประกอบการร้องหมอลำ โดยผู้แสดงเป็นกลุ่มเยาวชนที่มารวมตัวกันหลากหลายวัย ช่วยกันขยับขับเคลื่อนความสุขให้ชุมชนและท้องถิ่นของภาคอีสาน ทำให้หมู่บ้านหนองโนใต้ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          คุณยายสมศรี พาดีจันทร์ อายุ 60 ปี เล่าถึงความเป็นมาจุดเริ่มต้นของหมอลำหุ่นกระติบข้าวว่า เริ่มต้นจากครูเซียง นักการละครหุ่นที่เดินทางเข้ามาสอนการแสดงละครให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองโนใต้ หุ่นที่ใช้ประกอบการสอนในตอนแรกจะเป็นหุ่นที่ทำจากโฟม หรือฟองน้ำ ซึ่งดูแล้วไม่สวยงามเท่าไหร่ จึงคิดหาวิธีจะทำหุ่นแบบไหนดี เช้าวันหนึ่งครูเซียงไปเจอคุณตานั่งสานกระติบข้าวอยู่ในชุมชน แล้วหลานวิ่งเข้ามาบอกว่าหิวข้าว พอเด็กน้อยเปิดกระติบข้าวล้วงเอาข้าวในกระติบแล้วเขาหันไปเห็นพอดี มันเหมือนคนขยับปาก เลยเกิดไอเดียว่าอยากจะทำหุ่นจากกระติบข้าว จึงรับบริจาคกระติบข้าวที่ไม่ใช้แล้วมาทำหุ่น กระติบเล็กเป็นส่วนหัว กระติบใหญ่เป็นลำตัว แล้วก็ใช้ไม้ไผ่ที่หาได้ในท้องถิ่นมาเป็นโครงสร้าง ข้อดีคือมันเบามากเพราะข้างในกลวง จากนั้นประชุมทีมกับเด็กนักเรียนเพื่อจะทำหุ่นละครจากกระติบข้าว และนี่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหมอลำหุ่นในปัจจุบันก็ว่าได้

 

 

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          “เมื่อก่อนเด็กๆ ต้องไปทำกิจกรรมที่โรงเรียน เพราะไม่มีสถานที่ แต่ก็มีเสียงสะท้อนกลับมาทั้งในทางดีและไม่ดี เกี่ยวกับการใช้น้ำและไฟของทางโรงเรียน และการใช้สถานที่เกินเวลา ทำให้ต้องกลับดึก แม่สมศรีก็เลยบริจาคพื้นที่ติดถนนข้างที่นาของตัวเอง ให้คณะศิลปินรุ่นเยาว์ที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่า “เด็กเทวดา” เอาไว้ฝึกซ้อมการแสดงละคร โรงละครนี้สร้างเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เริ่มจากรวมแรงของชาวบ้าน ร่วมกันสร้างขึ้นมา ครูเซียงก็เห็นด้วย แม่ก็เลยสนับสนุนมาโดยตลอดเป็นผู้อุปถัมภ์มาต่อเนื่อง ทำให้เด็กได้มีพื้นที่อาศัยและทำกิจกรรม” แม่สมศรีกล่าวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          การต่อสู้ที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย แรงใจ กว่าจะโด่งดังไปไกลได้ทั่วโลก หมอลำหุ่นกระติบข้าวของคณะเด็กเทวดา เริ่มต้นการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กอายุ 7 ขวบเป็นต้นไป ที่มีความสนใจอยากมาร่วมเชิดหุ่นกระติบข้าว เด็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมแสดงจะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ เพราะสมาธิเด็กจะสั้นและมีการให้เด็กทำสมาธิก่อนเริ่มซ้อมบททุกครั้ง ด้วยการให้นั่งล้อมวงเป็นวงกลมแล้วท่องสูตรคูณตามที่ผู้สอนกำหนดให้ เด็กที่ชอบใฝ่รู้ก็จะอยู่ได้ แต่คนไหนที่ไม่ชอบการท่องสูตรคูณ วันต่อมาจะไม่เอาแล้ว เหตุผลที่ทำแบบนี้โดยการให้เด็กเล่นเกมท่องสูตรคูณจะช่วยทำให้เด็กมีสมาธิมากขึ้นและได้เรียนรู้ไปโดย เมื่อมารวมอยู่ในจุดนี้แล้ว ทำให้เด็กที่มีใจรักในละครหุ่น เริ่มฝึกฝนตัวเอง อ่านออก เขียนได้กันทั้งนั้น และที่สำคัญทำให้เด็กในชุมชนไม่หมกมุ่นอยู่กับสื่อโซเชียลหรือร้านเกมมากเกินไป เหตุผลที่ต้องใช้เด็กนักเรียนประถมในการมาเชิดหุ่นละคร เพราะเด็กในช่วงวัยนี้สอนง่ายและพร้อมเรียนรู้ได้เร็ว ซึมซับได้เร็ว มีความพยายามสูง ถ้าซ้อมบทไม่ได้จะวิ่งลงไปในทุ่งนาไปนั่งร้องไห้คนเดียว เพื่อนๆ ก็จะวิ่งไปตามกลับมาซ้อมอีกรอบ พูดจบคุณยายสมศรีก็หัวเราะด้วยความปลื้มปีติทุกครั้งที่เล่าถึงกลุ่มเด็กเทวดาเหล่านี้

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          คณะหมอลำหุ่นเด็กเทวดาได้ฝึกฝนและพัฒนารูปแบบการแสดงหุ่นมือ โดยผสานการร้องหมอลำและเรื่องราววัฒนธรรมท้องถิ่นอีสาน 


          ประกอบกับมีแม่ครูพ่อครูในชุมชนมาฝึกฝนให้ ทำให้การแสดงมีความแปลกใหม่และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการแสดงจะมีการร้องหมอลำ ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่เชี่ยวชาญด้านการร้องการรำหมอลำเป็นศิลปะที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น นั่นคือคุณพ่อทองจันทร์ ปลายสวน ผู้แต่งกลอนลำให้แก่คณะเด็กเทวดา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนอีสาน และการแสดงหุ่นที่ทำจากกระติบข้าว ซึ่งเป็นวัสดุสำหรับใส่ข้าวเหนียว พร้อมกับนำเศษผ้าที่หาได้ในท้องถิ่นมาตัดเย็บใส่ในตัวหุ่น ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคณะให้ได้รู้ว่ามาจากภาคอีสานอย่างแท้จริงและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จนได้รับเชิญไปแสดงตามที่ต่างๆ จากปกติจะเล่นตามหมู่บ้าน ไปแสดงขอข้าว หรือไปเล่นเปิดหมวกตามตลาดเพื่อหาทุนทรัพย์มาต่อยอดโรงละครหุ่นหมอลำกระติบข้าว

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          ด้านนางอภิญญา เหล่าม่วง หรือแม่อาง เล่าว่า หุ่นกระติบข้าวส่วนใหญ่จะออกแบบเป็นวิถีชาวนาของคนอีสาน กว่าจะได้มาแต่ละตัวใช้เวลาทำอยู่นาน หุ่นที่นำไปจัดแสดงจะใช้เชือกล็อกไว้ เพื่อให้หุ่นสามารถขยับแขน ขยับขา ได้เหมือนคน องค์ประกอบของหุ่นหนึ่งตัว ส่วนหัวจะใช้กระติบข้าวใบเล็ก นำมูลควายหรือขี้เลื่อยมาทำเป็นคิ้ว เชือกป่านทำเป็นหู ส่วนลำตัวใช้กระติบข้าวใบใหญ่ แขน ขา ของหุ่นใช้วัสดุจากไม้ไผ่ที่หาได้ตามท้องถิ่นอีสานมาทำ ชุดของตัวหุ่นจะเป็นผ้าขาวม้าเก่าที่ไม่ใช้แล้ว นำมาตัดเย็บให้เข้ากับหุ่น การเชิดหุ่นหนึ่งตัวใช้คนเชิดถึง 3 คน คนแรกขยับส่วนหัว คนที่สองส่วนแขน คนที่สามส่วนขา ทั้ง 3 คนนี้จะต้องเชิดให้ตรงกับเสียงคนพากย์ หุ่นที่นำมาแสดงเป็นฝีมือของกลุ่มน้องนักเรียนและครูผู้สอนที่ช่วยกันจัดทำขึ้น ต้องมานั่งออกแบบว่าหุ่นตัวนี้จะทำให้ออกมาในลักษณะไหนบ้าง กว่าจะได้หุ่นกระติบข้าวครบตามจำนวนตัวแสดงละครใช้เวลาอยู่หลายเดือน และมีการฝึกซักซ้อมให้เข้ากับกลอนลำที่พ่อครูแม่ครูปราชญ์ชาวบ้านแต่งให้ โดยละครหุ่นมือเรื่องแรกคือ องคุลีมาล ใช้ตัวแสดงประมาณ 9 ตัว เรื่องแรกได้รับเชิญไปแสดงงานอาเซียนที่เชียงใหม่ ด้วยความที่ไม่มีทุน ไม่มีรถไป ต้องไปขอมูลนิธิพระธาตุนาดูน ขอเงินจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม เพื่อหาทุนสนับสนุนในการเดินทาง และไปยืมรถตู้ของตำรวจขับไปจัดแสดงให้คนภาคเหนือได้ชม แล้วกลับมาแสดงแก้บนอยู่ที่พระธาตุนาดูน จากนั้นมาทำให้หุ่นหมอลำกระติบข้าวมีชื่อเสียงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          แม่อาง พูดถึงการเรียนรู้ในชุมชนว่า “เวลาเด็กๆ อยู่กับหุ่นกระติบข้าวเขาจะรู้สึกใกล้ชิด เหมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง วางใจพร้อมจะเล่าเรื่องหรือแสดงผ่านหุ่นโดยไม่เขินอาย เด็กๆ มีความกล้า ทั้งการพูด การสื่อสาร การเล่น การเชิด บวกกับกลอนลำทำนองอีสานทำให้หุ่นกระติบข้าวกับเด็กๆ เข้ากันได้ง่าย” ต่อมาเริ่มทำตัวละครเรื่องใหม่ขึ้น คือเรื่องสินไซ ตัวละครกระติบข้าวเกิดจากจินตนาการของเด็กๆ ที่เห็นภาพบนสิมหรือโบสถ์อีสานนำมาสร้างเป็นละครหุ่นหมอลำกระติบข้าวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง และเรื่องสินไซนี้ใช้ตัวละครแสดงทั้งหมด 11 ตัว ถ่ายทอดออกมาผ่านกลอนลำและหุ่น ยังเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเหมือนเรื่ององคุลีมาลเช่นกัน

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          เวลาไปจัดแสดงตามที่ต่างๆ จะแสดงเป็นรอบ รอบละครึ่งชั่วโมง คือ 30 นาที ค่าตอบแทนแต่ละรอบจะอยู่ที่ 3 หมื่นบาท โดยไม่รวมค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ขึ้นอยู่ที่ผู้จ้างไปแสดงจะให้แสดงกี่รอบ ทุกครั้งที่ไปแสดงกลับมาเงินที่ได้จะหักเข้าส่วนกลางไว้ 20% เพื่อเก็บไว้เป็นค่าเดินทางเวลาไปจัดแสดงตามงานอาเซียน งานหุ่นโลก หรืองานหอศิลป์ ในครั้งถัดไป หรือเก็บไว้เป็นต้นทุน ซ่อมแซมและบำรุงต่อไป แม่อางยังบอกอีกว่าเรื่องราวของหุ่นกระติบต่อให้เล่าเป็นเดือนก็เล่าไม่หมด เพราะมันเป็นการต่อสู้จากกลุ่มคนเล็กๆ ที่ไม่มีต้นทุนอะไรจนเติบใหญ่มาได้ถึงปัจจุบัน

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          สำหรับความพยายามของพวกเขา ทำให้รางวัลที่ได้คือถูกยกให้เป็นของดีมหาสารคาม ปีนี้จะดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของดีของดังใน จ.มหาสารคาม ให้ขึ้นเป็นที่ 1 เพราะปีที่แล้วเป็นรองของไก่งวง ในส่วนของรางวัลที่ได้มาต่างๆ จะเป็นใบประกาศนียบัตร สำหรับถ้วยรางวัลต่างๆ ที่ทำร่วมกันกับโรงเรียนอื่น ได้รางวัลมาก็มอบให้โรงเรียนนั้นไปเลย รางวัลล่าสุดที่ได้มาจากงานหุ่นโลกกาญจนบุรี คือ ฮาร์โมนี พัพเพ็ต ของคณะสินไซ

 

ภูมิปัญญาสร้างสรรค์สู่หมอลำหุ่นกระติบข้าว

 

          สิ่งที่แม่อางอยากจะทำในอนาคต อยากจะสร้างที่นี่ให้เป็นแลนด์มาร์ก เพราะตอนนี้ยังไม่มีการแสดงเป็นรอบ ไม่มีแสดงประจำอยู่โรงละคร จะมีการแสดงก็ต่อเมื่อถูกเชิญไปเท่านั้น อยากจะดันหมอลำหุ่นละครให้เป็นรอบๆ ไป เพราะมีคนถามหาเยอะ อยากเห็นในเวลาที่ดูโรงละครหุ่นกระติบข้าว และนี่ก็เป็นสิ่งที่อยากปรับปรุงในอนาคตต่อไป...