
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เริ่มก้าวแรก"Mini e-Court"มีคดีไม่ต้องมาศาล
"Mini e-Court" กำลังจะเริ่มขึ้น สร้างความสะดวกให้กับคนมีคดีความไม่ต้องมาศาล ในคดีทีไม่มีความซับซ้อนยุ่งยาก อย่างช้าต้นปีหน้า62 เกิดแน่ โดยเกศินี แตงเขียว
ถือเป็นมิติใหม่ เมื่อ “ศาลแพ่งกรุงเทพใต้” ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชน ในการยื่นติดต่อคดี ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งนโยบายก้าวหน้า ที่ “ศาลแพ่งกรุงเทพใต้” ได้ออกประกาศ ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการติดต่อราชการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พ.ศ.2561 โดยให้ใช้บัตรประชาชนตัวจริงเพียงใบเดียวในการติดต่อด้านคดีกับศาล ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.61
ซึ่ง “โอภาส อนันตสมบูรณ์” อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในวัย 64 ปี ซึ่งแม้อายุราชการเหลืออีกเพียง 1 ปีในตำแหน่งบริหาร แต่การที่ผ่านงานบริหารตำแหน่งอธิบดีศาลต่างๆ มาแล้วหลายแห่ง ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์การประกาศให้ใช้บัตรประชาชน เพียงใบเดียวติดต่อราชการศาล ว่า ก็เพราะเรามองเห็นว่า หน่วยงานอื่นๆ อย่าง กรมการกงสุลก็ให้ใช้บัตรประชาชนใบเดียวติดต่อทำหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) มานานแล้ว
“ ดังนั้นในส่วนของศาลเองก็มองว่า ในการมาติดต่อราชการศาล ถ้าเราให้ประชาชนตัวความ หรือคู่ความ ต้องเตรียมสำเนาทะเบียน สำเนาบัตรประชาชน ก็เห็นว่าความจำเป็นแบบนั้นหมดไปแล้วเพราะปัจจุบันบัตรประชาชนไทย ก็เป็นแบบสมาร์ท การ์ด (Smart Card) ที่มีข้อมูลบรรจุในบัตรแล้ว ดังนั้นเมื่อมีบัตรประชาชนเพียงใบเดียวแล้ว สำเนาอย่างอื่นก็ไม่ต้องใช้แล้วเมื่อมั่นใจว่าเป็นคนๆ เดียวกับตัวความซึ่งบัตรประชาชนก็แสดงตัวตนชัดเจนแล้ว”
ส่วนเรื่องการกลัวจะสวมสิทธินั้น ก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ส่งมอบเครื่องอ่านบัตรประชาชน ให้ศาลมาใช้ 50 เครื่อง ซึ่งเครื่องราคา 300 -500 บาทไม่แพง แต่คุ้มค่าในการลิงค์เชื่อมต่อข้อมูลกันโดยในบัลลังก์ศาลที่มีอยู่ 20 บัลลังก์ ก็มีเครื่องอ่านบัตรครบหมด รวมทั้งงานรับฟ้อง งานการเงิน และงานสำนวนจะมีเครื่องอ่านบัตรด้วย
"ตัวอย่าง เมื่อคู่ความต้องมารับเงินในคดี 10 ล้าน ก็นำเพียงบัตรประชาชนใบเดียวมาแสดงที่งานการเงิน ดังนั้นเวลาจะรวดเร็วขึ้นแน่นอน เพราะไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเอกสารจากห้องเก็บสำนวนที่อยู่แยกกัน โดยการเงินที่จะต้องมีการอนุมัติเงินจำนวนมาก และจ่ายเป็นเช็คก็จะมีการเสนอตามลำดับชั้นซึ่งมีรองอธิบดีฯ เป็นคนเซ็นให้จึงออกได้ ดังนั้นถึงแม้จะเน้นความรวดเร็วว่องไว แต่เราก็ยังมีระบบตรวจสอบด้วย และระบบภายในเราก็ต้องถ่ายเอกสารเก็บไว้ด้วย โดยกระบวนการเหล่านี้จะไม่เป็นภาระของประชาชน แต่ศาลจะรับภาระดำเนินเอกสารภายในเอง เรียกได้ว่า “มาแต่ตัวกับบัตรประชาชน 1 ใบ” เพราะทุกงานเราใช้บัตรประชาชนใบเดียวหมด"
ขณะที่การพัฒนาเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ได้มีเพียงเรื่องเดียว ซึ่ง “นายโอภาส” อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้เล่าถึงนโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นว่าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตอนนี้ก็พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่เสียเลย อันนี้เน้นเลย เพราะก็เป็นนโยบายประธานศาลฎีกา และสำนักงานศาลยุติธรรมด้วย “สะดวก รวกเร็ว เสียค่าใช้จ่ายน้อย”
ส่วนที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้ทำไปแล้วและเป็นรูปธรรม คือ
1.เรื่องการคัดถ่ายคำพิพากษาคดีแพ่งได้ทั่วประเทศซึ่งประชาชนสามารถขอคัดถ่ายได้ผ่านที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ไม่ว่าคำตัดสินนั้นจะอยู่ที่ศาลใดในประเทศไทย
2.เรื่องที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ กรมบังคับคดี ที่จะโอนข้อมูล เอกสารการบังคับคดี เช่น สำเนาคำฟ้อง สำเนาคำพิพากษา หมายบังคับคดี ให้อยู่ในระบบกรมบังคับคดี เพื่อให้ไปตั้งเรื่องการบังคับคดีที่ กรมบังคับคดีได้เลย โดยหลังจากศาลตัดสินแล้ว 30 วัน คู่ความก็ไปขอดำเนินการตั้งเรื่องบังคับคดีกับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้เลย ไม่ต้องกลับมารอดำเนินการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้อีก
3.การฟ้องคดีผู้บริโภคในระบบออนไลน์ หรือe-Filingคือ ให้ตัวความ (โจทก์ผู้ฟ้อง) หรือทนายความก็ได้ ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ในหน้าเว็บของศาล เมื่อได้User name(ชื่อผู้ใช้)และPassword(รหัสผ่าน) แล้ว ก็ยื่นคำฟ้องในระบบได้เลย พร้อมส่งเอกสารถึงศาล จากนั้นเมื่อคำฟ้องเข้าสู่ระบบออนไลน์แล้วศาลก็จะแจ้งแบบการชำระเงินให้ตัวความ เพื่อให้นำแบบชำระเงินนั้นไปชำระค่าธรรมเนียมศาลหรือค่าขึ้นศาล (เงินที่ชำระต่อศาลในการดำเนินคดี) ที่เคาน์เตอร์ธนาคาร หรือตู้เอทีเอ็ม หรือชำระค่าธรรมเนียมศาลผ่านบัตรเครดิตก็ได้ ซึ่งระยะเวลาการชำระเงินนั้นก็จะไม่เกิน 3 วันทำการ โดยเมื่อชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วก็แจ้งให้ศาลทราบ จากนั้นศาลก็จะออกเลขคดีดำให้พร้อมรวบรวมเอกสารตั้งเป็นสำนวนคดีและกำหนดวันนัดพิจารณา ซึ่งการกำหนดวันนัดครั้งแรก ก็ให้โอกาสตัวความตรวจดูเลือกวันที่สะดวกเองด้วย ที่ให้อยู่กำหนดภายใน 45 วัน
“จริงๆแล้ว การลงทะเบียนยื่นฟ้องแบบออนไลน์ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง เวลาที่เหลือก็เป็นกระบวนการชำระเงินมากกว่าที่จะกำหนดไม่ให้เกิน 3 วันทำการ โดยตัวความก็มาศาลทีเดียวในวันนัดพิจารณา ระหว่างฟ้องก็ยังไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไป-มาระหว่างศาล โดยเฉพาะศาลแพ่งกรุงเทพใต้ที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจ ก็จะใช้เวลานานรถติด”
4. การต่อยอด ยื่นคำร้องทางระบบออนไลน์e-Filingในการขอตั้งผู้จัดการมรดก โดยเราเน้นเรื่องความสะดวกของ “ผู้ร้องขอจัดการมรดก” ก็คือ ตัวทายาท ที่ยื่นคำร้องผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ ซึ่งศาลทำแบบฟอร์ม หรือe-formไว้ให้กรอกอยู่แล้วในเว็บไซต์ศาลก็เรียบร้อย ก็จะให้กรอกชื่อผู้ร้อง-ข้อมูลผู้ตายและทรัพย์สิน จากนั้นระบบจะพิมพ์เอกสารออกมาให้หมด โดยที่การดำเนินการส่วนนี้ไม่ต้องใช้ทนายความเลย และตัวความเองก็ไม่ต้องมาศาลด้วย เรียกว่ากรอกคำร้องที่บ้านก็ได้ หรือไม่ว่าทายาทที่จะยื่นคำร้องนั้น ตัวจะอยู่ส่วนใดของประเทศไทย ถ้าเจ้ามรดก (ผู้ตายเจ้าของทรัพย์สิน) มีภูมิลำเนาก่อนถึงที่แก่ความตาย ที่อยู่ในเขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ 9 เขต (เขตสัมพันธวงศ์ , ป้อมปราบศัตรูพ่าย , ปทุมวัน , บางรัก , สาทร , บางคอแหลม , ยานนาวา , คลองเตย , วัฒนา) ก็ยื่นออนไลน์ได้หมดเลยทั่วประเทศ ขณะที่การร้องขอจัดการมรดก ศาลจะกำหนดวันนัดให้ในช่วง 30 วัน
โดยอนาคตอันใกล้นี้ โครงการสำคัญที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ กำลังจะทำ คือ “Mini e-Court” ด้วยการสืบพยานผ่านจอภาพ ซึ่งนายโอภาส อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้เปิดถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีอำนวยความยุติธรรมเรื่องนี้ ให้ฟังว่า ในคดีจัดการมรดก หรือคดีที่ดำเนินการฝ่ายเดียวซึ่งไม่มีข้อยุ่งยาก ตัวความอาจจะไม่ต้องมาศาลก็ได้ ด้วยการใช้วิธีการออนไลน์ระหว่างศาลกับตัวความลักษณะสืบพยานผ่านจอภาพ หรือวิดีโอคอล คล้ายกับกระบวนการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในการฝากขังคดีอาญาระหว่างศาล-เรือนจำ ซึ่งต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์ เป็นe-Courtมา 20 ปีแล้ว ประเทศไทยยังไม่ได้ก้าวเลย เราก็เรียนรู้นำสิ่งที่เขาใช้แล้ว มาปรับเปลี่ยนให้ใช้งานกับเราได้
“โครงการMini e-Court” ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้นี้ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาและพัฒนาระบบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการให้บริษัทเอกชนที่ดูแลระบบข้อมูล เข้ามาทำซอฟท์แวร์เพื่อรองรับ ดังนั้นไม่ใช่โครงการเพ้อฝัน ซึ่งเรากำหนดเวลาดำเนินให้เสร็จนับจากนี้ไม่เกิน 6 เดือน เดือน มิ.ย. เริ่มนับหนึ่ง โดยอย่างเร็วภายในสิ้นปี 2561 นี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า 2562 เห็นผล ซึ่งงบประมาณที่ใช้ก็เป็นส่วนของศาลเอง ไม่ได้ใช้งบมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราคำนึงถึงว่านำเทคโนโลยี ที่ใช้งานง่าย ประหยัด เข้าถึงง่าย เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทั้งสำหรับศาลและประชาชน เทคโนโลยีที่จะเอามาใช้เราต้องคำนึงถึงว่าเอาของง่ายๆ มาใช้ ไม่ใช่ซับซ้อนประชาชนเข้าถึงยาก อย่างนั้นไม่เอา ส่วนระบบการป้องกันรักษาความลับของคู่ความก็มี เราต้องรักษาความลับของคู่ความด้วย ไม่ใช่ทำซี้ซั้วไป ”
และที่เราทำในคดีแพ่งนี้ได้ เพราะไม่ได้มีข้อมูลความลับถึงขนาดที่จะทำให้อีกฝ่ายเสียหาย เสียเงิน เสียรูปคดีซึ่งปกติจริงๆแล้วในกระบวนพิจารณาคดี ก็มีคนมานั่งฟังได้ ไม่ได้ห้ามเพราะเป็นการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย ดังนั้นจึงไม่ขัดหลักละเมิดสิทธิ ส่วนUser name(ชื่อผู้ใช้)และPassword(รหัสผ่าน) ที่ศาลให้ตัวความ ก็รู้คนเดียว คนอื่นก็เข้าไม่ได้อยู่แล้ว ขณะที่Password(รหัสผ่าน) จะให้เฉพาะตัว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และจะใช้ได้เฉพาะคดีนั้น คดีใหม่ก็ต้องลงใหม่ ซึ่งเราป้องกันไม่ให้ยุ่ง เข้าไปดูสำนวนคนอื่น
ส่วนการพัฒนาระบบออนไลน์ไปถึงคดีอาญาได้หรือไม่..??“นายโอภาส” อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มองว่า ยังยาก เพราะคดีอาญาจะต้องดูความน่าเชื่อถือของพยาน พยานบุคคลที่มาเบิกความ บางทีบางครั้งจะโกหกหรือไม่ ศาลก็ต้องดูจากอากัปกิริยาต่างๆ ด้วย นอกเหนือจากความแตกต่างการเบิกความของพยานทั้งหลาย ซึ่งส่วนนี้เป็นสาระสำคัญ ดังนั้นในทางปฏิบัติก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาในคดีอาญาขนาดนั้น นอกจากมีเหตุจำเป็นเช่นพยานอยู่ไกล หรือต่างประเทศ
“ประเทศไทย ในความคิดผม การนำเทคโนโลยีอะไรเข้ามาใช้ เราต้องเน้นเรื่องความเหมาะสมกับการใช้งาน และเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ต้องลงทุนไปว่า ลงทุนไปแล้วเหมาะสมกับระบบกฎหมายของประเทศไทยหรือเปล่า เหมาะสมกับระบบการพิจารณาของศาลไทยหรือเปล่า ซึ่งต้องเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมและไม่แพง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า หรูดูแพง แต่ใช้งานไม่ได้ ไม่คุ้มประโยชน์ พูดง่ายๆอย่าไล่ตามฝรั่งที่มีระบบกฎหมาย ระบบการพิจารณาคดีที่แตกต่างกัน เราเลียนแบบฝรั่งไม่ได้ เราต้องคิดว่าอะไรที่เหมาะสมกับเรามากกว่า”
และที่กำลังพูดถึงการสร้างระบบเทคโนโลยี ให้เป็นไทยแลนด์ 4.0 ในความเห็นส่วนตัวของ “นายโอภาส อนันตสมบูรณ์” มองว่า การจะเป็น 4.0 แล้วหรือไม่ เราอย่ายึดติดว่า 4.0 หรือ 5.0 ไม่สำคัญ เพราะคุณอาจพูดได้ แต่ในความเป็นจริงยังไปไม่ถึงก็ต้องยอมรับ เพราะเราไม่จำเป็นต้องเอาเทคโนโลยีถึงขนาดนั้นมาใช้ เพราะบางทีก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ เนื่องจากคนของเรายังก้าวไม่ทันเขา ก็จะเหมือนเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ซึ่งเราก็มีบุคลากร มีความรู้ มีระบบความคิดเพียงแต่วิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้งานให้สมประโยชน์ที่เราจะใช้ เราต้องมองภาพและวัตถุประสงค์ให้ชัดว่า เราจะทำอะไร เราต้องการอะไร แล้วประชาชนจะได้อะไร การพัฒนา ต้องเริ่มจากวิวัฒนาการเหมือนเด็ก เริ่มคลาน ตั้งไข่ ก่อนก้าวเดิน อย่าก้าวกระโดดคลานแล้ววิ่ง อย่าติดยึดนิยามความเป็น 4.0 ซึ่งประเทศไทยยังต้องทำให้คนมีงานทำ เศรษฐกิจดีขึ้น ระบบสาธารณสุข การรักษาโรค และการศึกษาด้วย"