คอลัมนิสต์

ฆ่าหั่นศพ "คุก 34 ปี" น้อยไปไหม?

ฆ่าหั่นศพ "คุก 34 ปี" น้อยไปไหม?

14 พ.ค. 2561

ต้องบอกว่า "จบแต่เหมือนไม่จบ" สำหรับ "คดีเปรี้ยวฆ่าหั่นศพ" เพราะแม้ศาลจะมีคำพิพากษาไปแล้ว แต่กระแสวิจารณ์ยังคงกว้างขวางในโลกออนไลน์

 

               คดีนี้ต้องบอกว่าฮือฮาทุกขั้นตอนจริงๆ ตั้งแต่วิธีการ “ฆ่า” แล้ว “หั่นศพ” ซึ่งสังคมมองว่ามีความร้ายแรงและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก มาจนถึงขั้นจับกุม “ทีมเปรี้ยว” ก็มีดราม่าเรื่องสิทธิพิเศษ ทั้งให้แต่งหน้า ทาปาก นอนห้องทำงานเจ้าหน้าที่ แถมยังเซลฟี่กับตำรวจ สุดท้ายมาถึงชั้นศาล ก็ยังมีดราม่าเรื่องคำตัดสินกันอีก

 

               2 ประเด็นสังคมคาใจ คือ 1.ทำไมศาลลงโทษจำคุกจำเลยสำคัญ คือ “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” เพียง 30 กว่าปีเท่านั้น สังคมมองว่าเป็นโทษที่น้อยเกินไปสำหรับพฤติการณ์ฆ่าหั่นศพ และ 2.โทษจำคุกเท่านี้ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว “ทีมเปรี้ยว” จะติดคุกจริงถึง 10 ปีหรือไม่

 

               ก่อนอื่นต้องย้อนไปดูจำเลยในคดีนี้ก่อนว่ามีใครบ้าง แต่ละคนโดนตั้งข้อหาอะไรและโดนลงโทษเท่าไร

 

               เริ่มจากคนแรก จำเลยที่ 1 น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว จำเลยที่ 2 น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น จำเลยที่ 3 น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ หรือ เบนซ์ จำเลยที่ 4 นายวศิน นามพรหม และจำเลยที่ 5 น.ส.อภินันท์ สัตย์บัณฑิต หรือแจ้ ทั้งหมดโดนตั้งข้อหาหลักๆ คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพ โดยมีเบนซ์ จำเลยที่ 3 ที่โดนข้อหารับของโจร

 

               จากกระแสวิจารณ์ของสังคมพุ่งเป้าไปที่ “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” เท่านั้น เพราะโดนคุกกันคนละ 30 กว่าปี ฉะนั้นเราจะตัด “วศิน” ออกไปก่อน โดยกรณีของนายวศิน ศาลลงโทษ 23 ปี 4 เดือน 20 วัน ในความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการฆ่า” คือไม่ได้เป็นตัวการหลัก จึงรับโทษน้อยกว่าคนอื่น ส่วน “เบนซ์” จำเลยที่ 3 มีความผิดเฉพาะข้อหารับของโจร ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี แต่รับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่ไม่รอลงอาญา

 

               กลับมาที่ “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” ต้นเหตุของกระแสวิจารณ์ว่า “ฆ่าหั่นศพทำไมรับโทษจำคุกแค่ 30 กว่าปี” หากพิจารณาคำพิพากษาของศาลก็คือ ศาลลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา รวมกับโทษฐานซ่อนเร้นทำลายศพ แต่ยกฟ้องในข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

 

               จุดนี้เองที่เป็นคำถามของสังคม การหาคำตอบต้องย้อนไปดูบทบัญญัติใน “ประมวลกฎหมายอาญา” กันก่อน

 

               ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาอยู่ในมาตรา 288 ผู้กระทำจะมีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี

 

               ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ในมาตรา 289 (4) ผู้กระทำมีโทษประหารชีวิตสถานเดียว

 

               นี่คือความต่างของกฎหมาย สรุปง่ายๆ คือ ถ้าเป็นการฆ่าโดยเจตนาธรรมดา ศาลสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษได้ตั้งแต่ประหาร จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิด โดยโทษที่กำหนดนี้ยังไม่รวม “เหตุแห่งการลดโทษ” ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารับสารภาพอาจจะลดโทษจากจำคุกตลอดชีวิต เหลือจำคุก 50 ปี อย่างนี้เป็นต้น

 

               ส่วนการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในทางกฎหมายเรียกว่า “บทหนัก” ของความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษเอาไว้สถานเดียว คือ ประหารชีวิต ศาลไม่สามารถใช้ดุลพินิจลงโทษอย่างอื่นได้ ยกเว้นมีเหตุให้ลดโทษ เช่น รับสารภาพ ก็จะลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือจำคุกตลอดชีวิต อย่างนี้เป็นต้น

 

               คำถามคือ เหตุใดศาลจึงยกฟ้อง “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” ในความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

 

               การจะตอบคำถามนี้ได้ต้องเข้าใจนิยามของคำว่า “ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอธิบายว่า การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หมายถึงจำเลยต้องคิด ทบทวน หรือวางแผนตระเตรียมการมาก่อน พูดง่ายๆ คือต้องเป็นการฆ่าที่เกิดจากการคิดทบทวน ยกตัวอย่างเช่น ตระเตรียมอาวุธไว้ล่วงหน้า ไปดักซุ่มรอ วางแผนการฆ่า วางแผนหลบหนี เตรียมยานพาหนะ เหล่านี้เป็นต้น

 

               ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายให้ข้อมูลด้วยว่า การที่ศาลจะลงโทษฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนี้พยานหลักฐานต้องชี้ชัดแบบปราศจากข้อสงสัยเพราะเป็นอัตราโทษสูงที่สุดในทางอาญา การพิจารณาจึงต้องรอบคอบมาก ผู้เชี่ยวชาญได้ยกตัวอย่างคดีอื่นๆ ที่ศาลเคยยกฟ้องข้อหานี้ เช่น คิดทบทวนมาตลอดว่าจะฆ่าคู่อริ แต่ไปดักเท่าไรก็ไม่พบ กระทั่งวันหนึ่งไม่ได้ตั้งใจไปดักรอ แต่กำลังยืนซื้อของอยู่ แล้วคู่อริมาจอดรถใกล้ๆ พอดี จึงไปคว้ามีดจากแม่ค้าแถวนั้นมาจ้วงแทงจนตาย แบบนี้ศาลยังมองว่าไม่ใช่ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

 

               ย้อนกลับมาที่คดีฆ่าหันศพ “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” สู้คดีว่าไม่ได้วางแผนไปฆ่าน้องแอ๋ม (น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย ผู้ตาย) แต่แค่พาพวกไปดักรอเพื่อตบสั่งสอน (ความหมายในทางกฎหมายคือไตร่ตรองเพื่อทำร้าย) หนำซ้ำยังไม่ได้ตั้งใจฆ่าด้วย เพียงแต่พลั้งมือฆ่า เพราะน้องแอ๋มต่อสู้และด่ากลับ เมื่อน้องแอ๋มตายแล้วจึงค่อยคิดวิธีซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อหนีความผิด ซึ่งก็คือการนำศพไปหั่น

 

               ตรงนี้ต้องเข้าใจด้วยว่า “การหั่นศพ” ในทางกฎหมายแยกออกจากการฆ่าโดยโทษสำหรับความผิดฐานซ่อนเร้นทำลายศพมีโทษจำคุกเพียง 1 ปีเท่านั้น (ฆ่าจนตายแล้วหั่น ในส่วนของการหั่นรับโทษแค่นี้)

 

               จากข้อต่อสู้นี้ประกอบพยานแวดล้อมอื่นๆ แสดงว่าศาลเชื่อว่าจำเลยทั้งหมดไม่ได้เตรียมการไปฆ่าน้องแอ๋ม จึงไม่ผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ที่อ้างว่าไม่ได้เจตนาฆ่านั้นฟังไม่ขึ้น เพราะคำว่า “เจตนา” ในทางกฎหมาย หมายถึงการกระทำโดยรู้สำนึกเท่านั้น การทำร้ายด้วยการตบแล้วบีบคอ ผู้กระทำต้องรู้ว่าจะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำตายได้ จึงไม่ใช่เจตนาทำร้ายจนทำให้น้องแอ๋มถึงแก่ความตาย

 

               มาต่อกันที่ประเด็นคาใจของสังคมประเด็นที่ 2 คือ ฆ่าหั่นศพ โดนลงโทษจำคุก 34 ปี 6 เดือน จะติดคุกจริงกี่ปี ประเด็นนี้ต้องย้อนไปดูหลักเกณฑ์การลดวันต้องโทษผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ซึ่งมีหลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่

 

               1.เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ได้ลดโทษเดือนละ 5 วัน นักโทษชั้นดีมาก ได้ลดโทษเดือนละ 4 วัน นักโทษชั้นดีได้ลดโทษเดือนละ 3 วัน

 

               สมมุติ “ทีมเปรี้ยว” เป็นนักโทษชั้นเยี่ยมตลอด โทษจำคุก 34 ปี 6 เดือน คิดเป็นเดือนก็เท่ากับ 414 เดือน ถ้าได้ลดโทษเดือนละ 5 วัน จะลดโทษไป 2,070 วัน หรือ 69 เดือน นั่นก็คือเกือบ 6 ปี นี่แค่การเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมอย่างเดียว ได้ลดไปแล้วเกือบๆ 6 ปีแล้ว

 

               2.นอกจากนักโทษชั้นเยี่ยมแล้วการออกไปทำงานสาธารณะนอกเรือนจำ เช่น การขุดลอกคูคลอง ลอกท่อระบายน้ำ ก็จะได้รับการลดโทษเป็นจำนวนวันเท่ากับจำนวนที่ออกทำงานสาธารณะด้วย

 

               นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือลดโทษในวันสำคัญต่างๆ อีก

 

               ถึงจุดนี้ก็ลองคำนวณกันดูเองได้ว่า “ทีมเปรี้ยว” จะติดคุกจริงกี่ปีกันแน่ ในอดีตก็มีคดีลักษณะคล้ายๆ กันแบบนี้ ติดแค่ 10 ปีเศษๆ ก็ออกมาเดินปร๋อนอกคุกแล้ว!

 

โดย : ปกรณ์ พึ่งเนตร