คอลัมนิสต์

เปิดปูม 3 พระราชาคณะ ปมเงินทอนวัด

เปิดปูม 3 พระราชาคณะ ปมเงินทอนวัด

18 เม.ย. 2561

เปิดปูม 3 พระราชาคณะ ปมเงินทอนวัด พศ. ลุยไม่ยั้ง!

 

               ช่วงก่อนสงกรานต์ ยาวมาถึงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมานี้ ขณะที่คนไทยสนุกสนาน อิ่มบุญ อุ่นใจ ยังมีอีกด้านหนึ่งกับข่าวไม่สู้ดีนักในแวดวงผ้าเหลืองไทยอีกแล้ว

 

               เมื่อ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มือปราบเงินทอนวัด ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ “คดีทุจริตเงินทอนวัด” ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 3 แห่ง 4 คดี ต่อกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ             

 

               ทั้งนี้ ได้แบ่งเป็นการทุจริตเกี่ยวกับงบการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบเผยแพร่ศาสนา มีความเสียหายทั้งสิ้น 70 ล้านบาท !!

 

               โดย ผอ.พศ.ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ประกอบด้วย 1.พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี), 2.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม), 3.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ 4.พระเมธีสุทธิกร (สังคม ญาณวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ปัจจุบันเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชอุปเสณาภรณ์ และ 5. พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ปัจจุบันเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชกิจจาภรณ์ กระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม

 

               โดยแม้จะยังอยู่ในขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหา แต่หลายก็คิดไปไกลแล้วว่า งานนี้ถ้าตรวจสอบพบว่าผิดจริง ก็อาจถึงขั้นอาบัติปาราชิก และส่งผลต่อสมณศักดิ์พระราชาคณะเจ้าคณะรอง และตำแหน่งกรรมการ มส. ต่อไปด้วย !!

 

               สำหรับความเป็นมาและบทบาทของ 3 กรรมการมหาเถรสมาคม มีดังนี้

 

พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม)

               

               นามเดิมคือ “เอื้อน กลิ่นสาลี” ฉายา หาสธมฺโม ป.ธ. 9 น.ธ.เอก เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร           

 

               พระพรหมดิลก เกิดเมื่อ 13 กรกฎาคม 2488 อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา อุปสมบทเมื่อ 13 พฤษภาคม 2510 ณ วัดมหาพล บ้านเกิด สิริรวมบวชมาแล้ว 50 พรรษา

 

               ที่ผ่านมา เคยเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสามพระยา จากนั้นเป็นเลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง, เป็นรองเจ้าคณะภาค 1 จนปี 2539 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพระยา

 

               ต่อมาราวปี 2545 เป็นเจ้าคณะภาค 14 และปี 2553 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม กระทั่งช่วงปี 2556 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพ มาจนถึงปัจจุบัน

 

               สำหรับบทบาทของพระพรหมดิลก แน่นอนว่า ท่านยังเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ฝ่ายมหานิกาย และยังอยู่ในลำดับอายุและอาวุโสที่ 5 ในการเลื่อนขึ้นเป็น “สมเด็จ” หากมีการขยับตามลำดับอีกด้วย

 

               ส่วนบทบาทที่หลายคนยังไม่ลืม คือช่วงปีที่แล้ว ท่านได้ออกคำสั่งห้ามคณะสงฆ์ในเขตกรุงเทพฯ ติดแผ่นป้ายโฆษณาพระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุมงคล และเทวรูปในที่ต่างๆ

 

พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี)

 

               นามเดิมว่า จำนงค์ เอี่ยมอินทรา เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7 ฝ่ายธรรมยุต

 

               ท่านเกิดเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2484 ที่ ต.บางระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์ ช่วงปี 2504 ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ สิริรวมบวชมาแล้ว 56 พรรษา

 

               ที่ผ่านมาเคยเป็นพระครูสังฆบริหาร ฐานานุกรมในพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก), เป็นพระครูปลัด ฐานานุกรมในพระเทพปัญญามุนี (เฉย ยโส) ฯลฯ

 

               และมีการเลื่อนเรื่อยมาจนช่วงปี 2552 ได้เป็นเจ้าคณะภาค 4-7 (ธรรมยุต) และปีถัดมา 2553 เลื่อนขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ฝ่ายธรรมยุต อยู่ในลำดับอายุและอาวุโสที่ 3 ในการเลื่อนขึ้นเป็น “สมเด็จ” นอกจากนี้ท่านยังเป็นโฆษกมหาเถรสมาคมอีกด้วย

 

               สำหรับบทบาทที่หลายคนจดจำได้ดี เพราะเป็นข่าวร้อนช่วงต้นปี 2559 คือการที่พระพรหมเมธี ในฐานะโฆษก แจ้งมติ มส. ว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย (ขณะยังเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและประธานมูลนิธิธรรมกาย) ไม่ปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ ! เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว และยังไม่ถือเป็นการขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีไว้ตั้งแต่ปี 2542

 

พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ)

 

               นามเดิมว่า ธงชัย สุขโข ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส., เจ้าคณะภาค 10 ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ

 

               เกิดเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2499 ที่ ต.เขาวง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ถือเป็นลูกศิษย์ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อย่างใกล้ชิด

 

               เพราะทั้งการบรรพชาเป็นสามเณร และการอุปสมบทเป็นพระ ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ช่วงปี 2519 ก็ได้สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ได้รับฉายาว่า “สุขญาโณ” สิริรวมบวชมาแล้ว 41 พรรษา

 

               ยอมรับกันดีว่า เจ้าคุณธงชัย หรือ พระพรหมสิทธินั้น มีบทบาททางพุทธศาสนามากมาย กระทั่ง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ขณะปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการมส. เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558

 

               อย่างไรก็ดี บทบาทของท่านยังถือเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ฝ่ายมหานิกาย อยู่ในลำดับอายุและอาวุโสที่ 7 ในการเลื่อนขึ้นเป็น “สมเด็จ” หากมีการขยับตามลำดับ

 

               ไฮไลท์สำคัญช่วงหนึ่งคือราวปี 2558 หลังจากที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจพบความผิดปกติในการบริหารงบจัดงานพระราชทานเพลิงศพ “สมเด็จเกี่ยว” 67 ล้านบาท ในสมัยที่พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) ดูแลอยู่ จึงนำมาสู่การปลดพระพรหมสุธี พร้อมกับแต่งตั้ง พระพรหมสิทธิ ขึ้นรักษาการเจ้าอาวาสแทน

 

               แต่หากย้อนขึ้นไปอีกก่อนหน้านั้น ทางพระพรหมสุธีขณะที่ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสรูปใหม่ ก็ได้เคยสั่งปลดพระพรหมสิทธิ ขณะเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เพราะสงสัยเกี่ยวกับการทำหน้าที่บริหารเงินบริจาคในพื้นที่ภูเขาทองมาก่อน

 

               จากนั้นเรื่องก็บานปลาย จนมีการหันกลับมาโจมตีพระพรหมสุธีในประเด็นข้างต้น จนต้องพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไปเสียเอง ซึ่งก็เป็น พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าคณะกรุงเทพฯ นั่นเอง ที่ได้ลงนามสั่งให้ พระพรหมสุธี พักการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และให้พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) รักษาการแทน จนถึงได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศมาจนถึงปัจุจบัน

 

               อย่างไรก็ดี มาถึงตรงนี้ สำหรับกรณีการแจ้งความเอาผิดพระทั้ง 5 รูป โดย ผอ.สำนักพุทธ ยังมีในส่วนของพระราชาคณะชั้น “ราช” อย่าง พระราชอุปเสณาภรณ์ (สังคม ญาณวฑฺฒโน) อายุ 46 ปี 23 พรรษา

 

               และ พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) อายุ 47 ปี 25 พรรษา ก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็น 2 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

 

               งานนี้จึงน่าจับตาไม่น้อย เพราะหลายคนมองว่า พระราชาคณะทั้ง 5 รูป ล้วนแล้วแต่เป็นดาวรุ่ง หลายคนจึงติดตามว่าการประชุม มส. 20 เมษายน ที่จะถึง จะมีกรรมการ มส. ทั้ง 3 รูปเข้าร่วมประชุมหรือไม่

 

               แต่สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร ในทางกฎหมายว่าละเอียดอ่อนแล้ว ในทฤษฎีอื่น ยิ่งละเอียดอ่อนกว่า !!