
เปิดทฤษฎีกฎหมาย...ลุงซาเล้งตาย...ทำไม "จ๊อด" ต้องรับผิด
เปิดทฤษฎีกฎหมาย...ลุงซาเล้งตาย...ทำไม "จ๊อด" ต้องรับผิด : คอลัมน์... เจาะประเด็นร้อน
อีกหนึ่งคดีที่ยังคงเป็นกระแสถกเถียงกันในสังคม ก็คือคดี "นายจ๊อด" หรือ นายนราธร โสดติยัง ทำร้าย ลุงจรูญ มีพันธ์ อายุ 82 ปี ด้วยการเตะเข้าอย่างจังขณะกำลังขี่รถซาเล้ง ทำให้คุณลุงสลบไป ก่อนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยเป็นการเสียชีวิตหลังถูกทำร้ายเพียง 16 วัน
สาเหตุเรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะนายจ๊อดขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวรถซาเล้งของลุงจรูญ แล้วเกิดมีน้ำโห ขี่รถวนกลับมาทำร้ายคุณลุง กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด
ล่าสุดตำรวจแจ้งข้อหานายจ๊อดเพิ่มฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ขณะที่นายจ๊อดก็พยายามต่อสู้ว่าการตายของลุงซาเล้งไม่ได้เกี่ยวกับการทำร้ายของตน เรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคม บ้างก็ว่านายจ๊อดต้องรับโทษตามที่ก่อ บ้างก็ว่าการตายของลุงซาเล้งไม่เห็นเกี่ยวกับนายจ๊อด เพราะหมอก็สรุปสาเหตุการตายเบื้องต้นว่าเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บซึ่งป่วยอยู่ก่อนแล้ว
จริงๆ เรื่องนี้มีทฤษฎีกฎหมายมาอธิบายว่าการตายในลักษณะแบบนี้ผู้กระทำอย่างนายจ๊อดต้องรับผิดหรือไม่ เรียกว่า "ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล" โดยพิจารณาประกอบหลักการการรับผิดทางอาญาที่ว่า "การลงโทษผู้กระทำผิด จะต้องไม่ลงโทษเกินกว่าเจตนาที่ผู้นั้นได้กระทำ" ฉะนั้นในคดีอาญา สิ่งสำคัญที่สุดที่ "กระบวนการยุติธรรม" ต้องค้นหา ก็คือเจตนาที่แท้จริงของผู้กระทำผิด
ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปถึงกรณีเมื่อมีความตายเกิดขึ้น ในทางกฎหมายจะพิจารณา "เจตนา" ของผู้กระทำให้ตายใน 3 บริบทด้วยกัน คือ 1.ตายเพราะเจตนาฆ่า (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288) 2.ตายเพราะเจตนาทำร้าย (มาตรา 290) และ 3.ตายเพราะประมาท ซึ่งข้อ 3 นี้ถือว่าไม่มีเจตนาทำให้ตายเลย
จะเห็นได้ว่าการตายที่ "ผู้กระทำมีเจตนา" ในทางกฎหมายมี 2 อย่าง คือ เจตนาฆ่าอยู่แล้ว กับ เจตนาทำร้าย แต่ผู้ถูกกระทำเสียชีวิต เราแยกไปดูทีละกรณี
เริ่มจาก "เจตนาฆ่า" เช่น ใช้ปืนยิงไปที่หน้าอกด้านซ้าย ตัดขั้วหัวใจ แบบนี้ถ้าเสียชีวิตก็ถือว่า "มีเจตนาฆ่า" ถ้าไม่เสียชีวิตก็ผิดฐาน "พยายามฆ่า"
ส่วน "เจตนาทำร้าย" ก็เช่น ใช้ปืนเลือกยิงที่ขา ทั้งๆ ที่ยิงส่วนอื่นของร่างกายได้ แต่ปรากฏว่าคนที่ถูกยิงเลือดไหลไม่หยุดจนเสียชีวิต แบบนี้เรียกว่า "เจตนาทำร้าย ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย"
ในทางกฎหมายถ้าข้อเท็จจริงชัดเจนแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหามาเกิดคล้ายๆ คดีของนายจ๊อด ก็คือ “เจตนาฆ่า” หรือ “เจตนาทำร้าย” ก็ตาม แต่ผู้ถูกกระทำไม่ได้ตายทันที ไปรักษาตัวก่อนระยะหนึ่งแล้วถึงตาย แบบนี้ผู้กระทำต้องรับผิดจากการตายนั้นหรือไม่ ข้อถกเถียงนี้ต้องใช้ "ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล" มาพิจารณา
หลักการก็คือถ้า "ผล" คือ "การตาย" เกิดจากการกระทำของผู้กระทำ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม และผู้กระทำ "คาดหมายได้" ว่าอาจเกิด "ผล" เช่นนั้นขึ้น ต้องถือว่าผู้กระทำต้องรับผลอันนั้นด้วย
สมมุติว่า นาย ก. ใช้มีดฟัน นาย ข. ได้รับบาดเจ็บ นาย ข.ก็ไปรักษาแผล แล้วเกิดแผลติดเชื้อ เป็นบาดทะยักจนตาย อย่างนี้ในทางกฎหมายถือว่าเป็น "ผล" ที่คาดหมายได้ ผู้กระทำคือ นาย ก. ต้องรับโทษจากการตายของ นาย ข.ด้วย
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ข้อมูลแก่ “ล่าความจริง” ว่า หากย้อนดูคำพิพากษาศาลฎีกาไทย ทุกคดีหากมีการตายจากการรักษาพยาบาลอันเป็นผลจากการถูกทำร้าย ศาลจะมองว่า "เป็นผลที่เกิดจากการทำร้าย" ทั้งสิ้น ศาลสั่งลงโทษทุกกรณี
ส่วนจะลงโทษว่าเป็น "เจตนาฆ่า" หรือ "เจตนาทำร้าย จนผู้อื่นถึงแก่ความตาย" ต้องย้อนไปดู "เจตนาตั้งต้นที่ได้กระทำ" สมมุติตัวอย่างเดิม นาย ก.ใช้มีดฟัน นาย ข. ถ้าฟันแขน อาจจะเป็นเจตนาทำร้าย ต่อมานาย ข.ไปรักษาแผลไม่ดี แผลติดเชื้อจนตาย นาย ก.ต้องรับโทษฐาน "เจตนาทำร้าย แต่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ระวางโทษจำคุก 3 ปีถึง 15 ปี
แต่ถ้านาย ก. ฟันคอ นาย ข. ก็ต้องถือว่าเป็นเจตนาฆ่า นาย ข.ไม่ได้ตายทันที แต่ไปตายจากการรักษาแล้วติดเชื้อ แบบนี้นาย ก.ต้องมีความผิดฐาน "เจตนาฆ่า นาย ข." ซึ่งมีโทษสูงกว่าเจตนาทำร้าย (คือโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี)
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาไทยเป็นแบบนี้แทบทุกคดี มีบางคดีที่ผู้เสียหายป่วยเป็นโรคอื่นอยู่ก่อน เมื่อถูกทำร้ายก็ไปรักษาตัวแล้วเสียชีวิต ศาลยังมองว่าอาจเป็นการทำให้ผู้เสียหายต้องเสียชีวิตเร็วขึ้น จึงพิพากษาให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษฐานทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย แบบนี้ก็มีมาแล้ว
นอกจากนั้น แม้แต่เหตุแทรกซ้อนทางธรรมชาติ เช่น มีเรื่องทะเลาะกันริมชายหาด นาย ก. ชก นาย ข. จนล้มคว่ำแล้วสลบไป จากนั้นน้ำทะเลหนุนท่วม นาย ข.จนตาย แบบนี้แนวคำพิพากษาศาลฎีกาก็ยังให้นาย ก. มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 เช่นกัน
ส่วนตัวอย่างเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้โดย “ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล” ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดกับผลที่เกิดขึ้นนั้น เพราะเป็น “ผลที่มิอาจคาดหมายได้” เช่น ชายหญิงคู่หนึ่งเป็นแฟนกัน วันหนึ่งเกิดทะเลาะกัน ฝ่ายหญิงใช้ไม้ฟาดศีรษะฝ่ายชายจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นฝ่ายชายไปนั่งรับประทานกวยจั๊บ แล้วเส้นกวยจั๊บติดคอจนเสียชีวิต แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นผลที่สัมพันธ์กับการกระทำ และผู้กระทำไม่อาจคาดเดาได้ จึงไม่ต้องรับผิด
จากทฤษฎีกฎหมายดังกล่าวนี้ หลายคนคงพอจะมีคำตอบในใจแล้วว่า การที่ตำรวจแจ้งข้อหาเพิ่มกับนายจ๊อด เป็นการแจ้งข้อหาที่ถูกต้องหรือไม่
ส่วนประเด็นที่นายจ๊อดอ้างว่า ได้ไปขอขมาและรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของคุณลุงซาเล้งนั้น เรื่องนี้นักกฎหมายบอกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับคดี เป็นเพียงการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งอาจนำไปขอความเมตตาจากศาลเพื่อเป็น “เหตุบรรเทาโทษ” ได้เท่านั้น แต่การตั้งข้อหาและการฟ้องคดียังต้องยึดข้อหาเดิม
เช่นเดียวกับที่นายจ๊อดอ้างว่าเข้าใจผิด คิดว่าลุงซาเล้งไม่ได้อายุมากถึง 80 กว่าปี เหมือนพยายามจะแก้ตัวว่า เป็นเรื่อง “สำคัญผิดในข้อเท็จจริง” ซึ่งกฎหมายเปิดช่องให้ศาลลดโทษได้ แต่ประเด็นนี้นักกฎหมายก็อธิบายว่า เรื่อง “สำคัญผิดในข้อเท็จจริง” มักใช้ในกรณี “พรากผู้เยาว์” หรือ “พรากเด็ก” ไม่ใช่กรณีฆ่าหรือทำร้าย เพราะไม่ว่าจะฆ่าหรือทำร้ายคนอายุเท่าไรก็มีโทษเท่ากัน
ส่วนเรื่อง “บันดาลโทสะ” ก็ใช้ไม่ได้กับคดีนี้ เพราะนายจ๊อดไม่ได้ถูกข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมจากลุงซาเล้งก่อน จึงไม่เข้าข่ายเป็น “บันดาลโทสะ” ซึ่งจะเป็นเหตุลดหย่อนโทษได้เช่นกัน
เรื่องนี้ทั้งอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา และนักกฎหมายที่ให้ข้อมูลแก่ “ทีมข่าว คม ชัด ลึก” บอกว่า คดีลุงซาเล้งน่าจะถือเป็นกรณีศึกษาของสังคม เพราะปัจจุบันคนไทยใจร้อนกันมาก แค่ขับรถปาดกันบนถนนก็ลงไปทำร้ายต่อยตีกัน จึงควรใช้คดีนายจ๊อดกับลุงซาเล้งเป็นอุทาหรณ์
เพราะบางทีผลของการกระทำด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบอาจรุนแรงเกินคาด โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายบาดเจ็บ ไม่ต้องถึงตาย แต่ไปตายจากการรักษา สุดท้ายผู้กระทำอาจต้องรับโทษหนักขึ้น ฉะนั้นทุกคนควรใจเย็นๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม