
โศกนาฏกรรมซ้ำซาก! เส้นทางลัดอีสานสู่ตะวันออก สาย 304
โศกนาฏกรรมซ้ำซาก! เส้นทางลัดอีสานสู่ตะวันออก สาย 304บายไลน์ : ศูนย์ข่าวภาคอีสาน
“หนูอยากไปเที่ยวทะเล ไม่เคยไปมาก่อน แต่ไปครั้งนี้กลับไม่สนุกเลย แถมตอนขากลับก็มาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่รู้จะไปเที่ยวทะเลอีกไหม”
คำบอกเล่าของ ด.ญ.สุพิศรา เศษวงค์ วัย 14 ปี ผู้รอดชีวิตที่ช่วยแม่ของเธอออกมาจากรถทัวร์ และเป็นคนแรกที่โทรศัพท์แจ้งข่าวให้ญาติที่บ้านหลุบ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ได้รู้ข่าว ทันทีที่เธอได้สติและคว้าโทรศัพท์ที่เก็บติดตัวไว้ตลอดเวลา ตั้งแต่รู้สึกว่ารถทำท่าไม่ดี เพราะโชเฟอร์ขับด้วยความเร็วและน่าหวาดเสียว ทำให้เธอชวนแม่เดินลงมาจากชั้น 2 ของรถมาอยู่ที่บริเวณชั้น 1 และในระหว่างที่รถเกิดอุบัติเหตุ เธอกับแม่กอดกันกลมนอนหมอบราบลงกับพื้นทางเดิน โดยแม่เอาตัวบังเธอไว้ให้เธออยู่ด้านล่าง อุบัติเหตุครั้งนี้ เธอจึงเป็น 1 ใน 32 คนที่รอดชีวิต ส่วนเพื่อนบ้านอีก 18 ชีวิตจากไปไม่มีวันกลับ
เธอเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่ไปเที่ยวในครั้งนี้ เนื่องจากไม่เคยเที่ยวไปทะเล จึงอยากไป แต่กลับไม่สนุกอย่างที่คิดไว้ ก่อนเกิดเหตุอันเลวร้ายจำได้ว่ารถขับมาด้วยความเร็ว คนนำเที่ยวจึงลงไปถามคนขับรถ ได้คำตอบว่าเบรกแตก จึงตะโกนบอกคนบนรถทัวร์ สักพักก็มีกลิ่นไหม้คลุ้งในรถ เธอจึงวิ่งไปหาแม่แล้วเก็บของทั้งโทรศัพท์ กระเป๋า และสิ่งของสำคัญไว้กับตัว
“สาเหตุที่เลือกคว้าสิ่งของสำคัญไว้กับตัว เพราะเมื่อเกิดเหตุจะได้สามารถระบุตัวตนได้และไว้ติดต่อกับญาติ จากนั้นแม่กับหนูจึงกอดกันแล้วหมอบลงบนทางเดิน โดยแม่กอดหนูไว้ให้หนูอยู่ข้างล่าง ระหว่างนั้นก็เรียกชื่อยายไปได้ 2 ครั้ง เพราะยายเป็นคนที่หนูนึกถึงเป็นคนแรก จากนั้นรถก็เกิดอุบัติเหตุ หนูจึงโทรศัพท์มาหาป้าคือ นางทรรศนีย์ เศษวงค์ เพราะเป็นคนติดต่อได้เพียงคนเดียวในบ้าน ระหว่างนั้นหนูเห็นคนตาย 4 รายที่ตายต่อหน้าหนู” น้องสุพิศรา บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องพบเจอ ซึ่งคงเป็นเหตุการณ์ที่เธอไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
ด้วยอีสานไม่มีทะเล จึงทำให้คนอีสานอยากไปทะเล สำหรับเด็กๆ แล้วการมีโอกาสไปเที่ยวทะเลสักครั้งคือความหวังและความสุขที่สุดในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่และเส้นทางลัดที่จะเดินทางจากภาคอีสานไปสู่ภาคตะวันออกที่ใกล้ที่สุดคือ เส้นทางสาย 304 ปักธงชัย-ปราจีนบุรี ซึ่งตัดถนนลัดเลาะตามซอกเขาที่ลดเลี้ยวและสูงชันทำให้คนที่ขับขี่รถตามถนนเส้นนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรถทัวร์ รถบัส ที่บรรทุกคนโดยสารเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่น่าห่วงเท่ารถทัวร์นำเที่ยวที่ไม่ชินเส้นทาง แต่ต้องการย่นระยะทางเพื่อให้ไปถึงรวดเร็ว และหลายปีที่ผ่านมา ก็เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตบ่อยครั้ง แต่ละครั้งล้วนสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
หากย้อนดู สถิติอุบัติเหตุบนถนนสายนี้ เมื่อปี 2551 เกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย 304 ถึง 8 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต รวม 33 ศพ ได้รับบาดเจ็บ 44 คน โดยอุบัติเหตุครั้งรุนแรงในปีดังกล่าว เกิดเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 10 ตุลาคม 2551 รถทัวร์ปรับอากาศ 2 ชั้น หมายเลขทะเบียน 31-2555 กรุงเทพมหานคร ของบริษัท จาตุรงค์ทัวร์ จำกัด นำนักศึกษาภาคสมทบจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น พร้อมอาจารย์ รวม 48 คน เพื่อไปศึกษาดูงานด้านการบริหารการจัดการอาชีพ ที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี เมื่อรถแล่นมาถึงช่วงทางโค้งลงเขาหน้าศาลโทน กม. 45-46 หมู่ 4 ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโค้งเกือบหักศอก ทำให้รถทัวร์พุ่งแหกโค้งเข้าหาเนินหยุดฉุกเฉิน ก่อนลอยข้ามไปยังเนินเขาอีกลูกตกกระแทกอย่างแรงแล้วพลิกคว่ำหลายตลบ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 21 ศพ บาดเจ็บ 27 คน
อีกราย เมื่อเวลา 04.30 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ 2 ชั้น สีขาวหมายเลขทะเบียน 30-0427 ขอนแก่น ที่พานักเรียนและครูจากโรงเรียนบ้านดงหลบ จ.นครราชสีมา ไปทัศนศึกษาที่หาดจอมเทียนพัทยา จ.ชลบุรี เกิดเบรกแตกเสียหลักพุ่งชนท้ายรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียนพ่วงแม่ 84-9179 หมายเลขพ่วงลูก 84 -9272 นครราชสีมา ที่บริเวณ กม.ที่ 42 ถนนสาย 304 หมู่ 4 ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ศพ บาดเจ็บ 37 คน
สำหรับอุบัติเหตุครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เกิดความสูญเสียไม่แพ้กันคือ เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 9 มีนาคม 2561 รถบัสโดยสารปรับอากาศ ตกลงเหวข้างทาง ทางขึ้นเขาโทน รถหมายเลขทะเบียน 30–1027 อุบลราชธานี พลิกคว่ำ พบเด็กนักเรียนและครูโรงเรียนพังทุยพัฒนศึกษา อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งได้พานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เดินทางไปทัศนศึกษาที่อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี มีนักเรียนจำนวน 44 คน และอาจารย์ผู้ควบคุม จำนวน 17 คน โดยนักเรียนทั้งหมดและอาจารย์ จำนวน 6 คน นั่งมาในรถคันเกิดเหตุ ส่วนอาจารย์ที่เหลืออีก 11 คน นั่งมากับรถตู้ซึ่งนำหน้ารถบัส ออกเดินทางจากโรงเรียนเมื่อตอน 3 ทุ่ม ของวันที่ 8 มีนาคม ขณะมาถึงที่เกิดเหตุเป็นทางลงเขาโทนโค้งและหักศอก ประกอบกับรถมาด้วยความเร็วสูงและไม่ชินเส้นทาง ส่งผลให้รถบัสคันดังกล่าวเสียหลักพุ่งชนกำแพงกั้นขอบถนนตกลงไปในเหวลึก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 ราย
ล่าสุดอุบัติเหตุรถทัวร์นำเที่ยว ที่นำพาชาวบ้านจาก ต.หลุบ และ ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ไปเที่ยวทะเล จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นรถทัวร์นำเที่ยวสองชั้นของบริษัทนำเที่ยวกันเองทัวร์ ที่กำลังจะพาผู้โดยสารกว่า 50 ชีวิต กลับไปส่งบ้าน แต่ในเวลา 20.00 น.ของวันที่ 21 มีนาคม วันนั้นเอง ที่ 18 ชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่มีโอกาสได้กลับไปสู่แผ่นดินเกิด ต้องเอาชีวิตมาสังเวยโชเฟอร์ตีนผีคือนายกฤษณะ จุฑาชื่น อายุ 44 ปี ที่เสพยาบ้า และขับรถอย่างบ้าคลั่ง โดยใช้ความเร็วกว่า 83 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทั้งๆ ที่เป็นทางลงเขาวังน้ำเขียว และมีป้ายเขียนกำกับเอาไว้อยู่แล้วว่าให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งคนที่ใช้รถใช้ถนนบนเส้นนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต่างก็รู้ว่ามีโค้งหักศอกและถนนค่อนข้างแคบ แม้จะมีการก่อสร้างถนนใหม่แล้วก็ตาม
จากการตรวจสอบสภาพถนนและสภาพของรถทัวร์นำเที่ยวแล้ว พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ระบุชัดเจนว่า ภายหลังจากที่สำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา ได้ตรวจสอบสภาพของรถยนต์ ปรากฏว่าสภาพเบรกไม่มีร่องรอยการไหลรั่วของน้ำมัน จึงยืนยันว่ารถไม่ได้เบรกแตก แต่อาจจะเกิดจากลมเบรกหมด เพราะทางลงเขามีระยะทางไกลประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งคนขับรถอาจจะไม่ชำนาญจึงไม่ได้ใช้เกียร์ต่ำ แต่กลับหันไปใช้ลมเบรกจนหมด
นอกจากนี้ ยังมีกรณีขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด เนื่องจากช่วงเกิดเหตุ จับจีพีเอสได้ว่ารถวิ่งเร็วประมาณ 83 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่บริเวณดังกล่าว กรมทางหลวงได้มีการติดป้ายกำหนดให้รถวิ่งใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากเป็นทางลงเขาและมีเส้นทางคดเคี้ยวมาก จึงเชื่อได้ว่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่ในครั้งนี้ รวมถึงตรวจพบว่าคนขับซึ่งได้สารภาพต่อตำรวจว่าเสพยาบ้าด้วย ทำให้ขับรถโดยไม่มีสติ แถมยังเคยต้องคดีเสพยาบ้ามาทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2545 โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556
ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ บริษัทกันเองทัวร์ จ.กาฬสินธุ์ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานและหลักฐาน เนื่องจากการตรวจสอบรถบัสคันนี้ เบื้องต้นพบว่าไม่ได้มีการนำรถยนต์มาตรวจสภาพรถนานกว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องมาตรวจสอบปีละ 2 ครั้ง รวมทั้งการปล่อยให้คนขับรถเสพสารเสพติดขณะขับรถก็จะต้องถูกแจ้งความดำเนินคดีด้วย
ส่วนการเอาผิดกับผู้ประกอบการรถทัวร์นำเที่ยวกันเองทัวร์ เบื้องต้น “กฤษฎา มะลิซ้อน” ขนส่งจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ดำเนินการกับผู้ประกอบการสองกรณี คือ 1.เพิกถอนทะเบียนรถบัส หมายเลข กส 30-0161 รถคันเกิดเหตุแล้ว และทราบว่าบริษัทนี้มีรถอยู่ 3 คัน แต่ได้ขายไปแล้ว 1 คัน คือรถหมายเลขทะเบียน กส 30-0089
ขณะที่ “สายันต์ บุญสนาม” เจ้าของบริษัทกันเองทัวร์ บอกภายหลังเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้ว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ไปดูรถและเห็นซากทำให้จิตใจเจ็บปวดมาก เพราะไม่ต้องการให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะนี้ได้เตรียมเอกสารหลักฐานซึ่งได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทอาคเนย์ ยื่นให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางราชการและช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างเต็มที่
สำหรับบริษัทกันเองทัวร์ เป็นบริษัทที่ทำมารุ่นสู่รุ่น ก่อนหน้านี้กันเองทัวร์ เคยวิ่งรถประจำทางระยะสั้นได้แก่รถบัสสายขอนแก่น-กาฬสินธุ์ ก่อนที่จะหันมาทำทัวร์อย่างเต็มรูปแบบประมาณ 15 ปี และไม่เคยเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรุนแรงเช่นนี้
สำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น “บุญจันทร์ จำปาศรี” อายุ 57 ปี สามีของนางนภาวรรณ จำปาศรี ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ บอกว่า การขับรถของคนขับเฉพาะขากลับตั้งแต่ออกมาได้ขับรถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและวิ่งด้วยความเร็วตลอดเส้นทาง ซึ่งคนในรถก็ได้ไปเตือนแต่ก็ไม่ได้ผ่อนคันเร่ง จนมาถึงที่เกิดเหตุก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ จากนั้นก็มีคนตะโกนว่ารถเบรกแตกแล้วก็เกิดการชนเข้ากับเกาะกลางถนนและพุ่งชนต้นไม้ ส่วนตัวมองว่าเป็นความประมาทและไม่น่าให้อภัย
"มิหนำซ้ำภายในรถยังมีคนขับเพียงมือเดียวและมีกระเป๋ารถบัสอีกหนึ่งคน เคยเตือนญาติไปแล้วว่าจะไปทัวร์จริงหรือ เพราะไม่ปลอดภัย อีกทั้งทุกปีก็จะเหมารถตู้ไปจำนวน 2 คัน แต่เมื่อเหมารถบัสและมาเกิดเหตุครั้งนี้ก็ขอให้ยกเลิกกิจการไปซะ เพราะคงไม่มีใครกล้าไปใช้บริการอีก” นายบุญจันทร์บอก
เช่นเดียวกับ ประจิม ถิตย์ประไพร อายุ 63 ปี บ้านเลขที่ 99 หมู่ 6 ต.หลุบ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสที่พลิกคว่ำครั้งนี้บอกว่า ส่วนตัวมีความสนิทสนมกับนางสมพิศ สิทธิชุม ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจัดทัวร์ไปเที่ยวทะเลครั้งนี้มาก เพราะเป็นทั้งญาติและคนในหมู่บ้านเดียวกัน เคยร่วมเดินทางไปเที่ยวและทำบุญด้วยกันอยู่เสมอ
“ตอนแรกว่าจะไม่ร่วมเดินทางไป แต่จากการชักชวนหลายรอบของเพื่อนบ้านจึงตัดสินใจไป โดยจ่ายเงินค่าเดินทางตลอดทริปรวมค่าอาหารที่พักเป็นเงินกว่า 3,100 บาท ก่อนเกิดเหตุรถได้วิ่งมาด้วยความเร็วและเริ่มเซไปมา ระหว่างนั้นนั่งอยู่บนชั้น 2 ตัวรถโยกไปมาแรงขึ้นๆ กระทั่งตัดสินใจเดินลงมาที่ชั้น 1 เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นและตะโกนให้คนขับรถหยุดรถ จากนั้นไม่ถึง 3 นาทีก็มีเสียงตูมดังสนั่น ทุกอย่างหมุนไปชั่วขณะ ระหว่างเกิดเหตุมีสติไม่ได้สลบ จึงร้องให้คนมาช่วยดึงตัวออกจากซากรถ ทั้งตื่นกลัว ตกใจ มองรอบๆ พบเห็นแต่คราบเลือด และเสียงร้องโหยหวนไม่ขาดสาย เมื่อหลุดออกจากตรงนั้นคิดถึงแต่พุทธคุณของพระที่ติดตัวไป ทั้งล็อกเก็ตของหลวงปู่หนูอินทร์พระ เกจิที่กราบไหว้มาตั้งแต่เด็ก รวมถึงพระอื่นๆ ประมาณ 3-4 องค์ เสียใจกับการสูญเสียญาติ เพื่อน และคนรู้จัก ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 18 คน มีความผูกพันรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการร่วมเดินทางไปทำบุญตามสถานที่ต่างๆ” ประจิม บอก
ควันไฟที่พวยพุ่งออกจากกองฟอน หรือเมรุชั่วคราว ที่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจัดทำขึ้นเพื่อส่งวิญญาณเหยื่อทัวร์มรณะขึ้นสู่สวรรรค์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พุ่งขึ้นสู่ฟ้าท่ามกลางน้ำตาที่รินไหลของญาติพี่น้องที่อยู่เบื้องหลัง หลายคนลูกจากไปไม่มีวันกลับ หลายครอบครัวนั้นภรรยาและสามีจากไปไม่หวนมาเช่นกัน
นับเป็นเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่น่าจะเป็น “บทเรียนราคาแพง” ให้หน่วยงานหามาตรการป้องกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถทัวร์ 2 ชั้นที่วิ่งอยู่เกลื่อนถนน ทั้งที่อันตรายและไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะคนขับที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถทัวร์สองชั้นแบบนี้ ซึ่งมีตัวเลขวิ่งอยู่เกลื่อนถนนกว่า 2 หมื่นคัน ที่ไม่รู้ว่าการต่อรถหรือคุณภาพของรถจะเชื่อถือได้อย่างไร ?
หากยังไม่มีมาตรการควบคุมบังคับใช้อย่างจริงจัง ก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะไปสังเวยให้แก่ความประมาทและความไม่รับผิดชอบเช่นนี้อีกเท่าไหร่ !