คอลัมนิสต์

บทเรียนจาก “วิคตอเรีย ซีเคร็ท”

บทเรียนจาก “วิคตอเรีย ซีเคร็ท”

22 ม.ค. 2561

คอลัมน์... รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

         ข่าวเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจค้นอาบอบนวดชื่อดัง “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” สร้างแรงสะเทือนต่อสังคมไทย แม้จะเป็นที่รู้กันดีอยู่นานแล้วว่าประเทศไทยมีธุรกิจค้าบริการทางเพศแฝงตัวอยู่ในมุมมืดของสังคม และมีเจ้าหน้าที่รัฐสนับสนุนอยู่อย่างไม่เปิดเผย แต่หลายคนก็ไม่คาดคิดว่าจะมีมูลค่ามหาศาลถึงเพียงนี้

         ภายในสถานบริการวิคตอเรีย ซีเคร็ท มีพนักงานให้บริการกว่าร้อยคน จากการตรวจค้นตู้เซฟพบบัญชีส่วย เป็นส่วนลดการเข้าใช้บริการในสถานอาบอบนวด พบเงินสดจำนวนหนึ่ง และพบหญิงพนักงานบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีหลายคน ในจำนวนนั้นพบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ถูกหลอกมาขายบริการทางเพศ ล่าสุดการสอบสวนคดีนี้อยู่ในการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียบร้อยแล้ว

         ในทัศนะของ ศ.ดร.สุภางค์ จันทวานิช ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเหตุการณ์สถานอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” ที่เกิดขึ้นสามารถสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้
    
         “ข้อแรก ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังมีการค้าประเวณีอยู่ และได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐผ่านระบบส่วยในรูปแบบสถานบริการแอบแฝง เช่น อาบอบนวด รวมถึงสถานบริการที่ไม่ได้ตกเป็นข่าวอย่าง บาร์เบียร์ ร้านอาหารคาราโอเกะ หรือร้านอาหารที่ไม่ได้ใช้มือเสิร์ฟอาหาร (No Hand Restaurant) เจ้าหน้าที่รัฐหลับตาและรับผลประโยชน์มาตลอด
   
         อันดับที่สอง หญิงค้าบริการมีทั้งเด็กต่ำกว่า 18 ปี และผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมากเป็นหญิงต่างด้าวที่มาทำงานแทนคนไทย เพราะคนไทยย้ายฐานแรงงานไปขายบริการในแอฟริกา หรือในยุโรป พบเกิดช่องว่างแรงงานตรงนี้ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านก็เข้ามาแทน
  
         อันดับสาม การมีเด็กต่างชาติเข้ามาขายบริการทำให้เกิดปรากฏการณ์เหยื่อค้ามนุษย์ระดับข้ามชาติอย่างแท้จริง และข้อสุดท้ายคือธุรกิจอาบอบนวดไม่ได้ทำให้รัฐมีรายได้ ไม่เสียภาษี คนที่ได้ประโยชน์จริงคือเจ้าของธุรกิจที่มีการเก็บค่าหัวคิว ดังนั้นจึงเป็นธุรกิจที่ไม่น่าจะมีให้อยู่”
   
         ศ.ดร.สุภางค์ ชี้ว่ากระแส “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” เป็นข่าวใหญ่เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 เคยมีข่าวบุกค้นอาบอบนวด “นาตารี” โทษฐานใช้แรงงานเด็กและมีการค้ามนุษย์ น่าจะเป็นบทเรียนให้อาบอบนวดรายอื่นๆ ไม่กล้าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
   
         “ที่เป็นข่าวใหญ่เพราะกรณีนาตารีมันควรเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น แต่วิคตอเรีย ซีเคร็ท นี่ทำโดยไม่ได้เกรงกลัวเลย เย้ยกฎหมายเกินไป” อาจารย์สุภางค์กล่าว
  
         ทั้งนี้ประเทศไทยมีพ.ร.บ.ปราบปรามการค้าประเวณีมาตั้งแต่ปี 2539 ระบุไว้ชัดเจนว่าการสำเร็จความใคร่เพื่อให้ได้สินจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนต่อเพศเดียวกันหรือคนละเพศถือว่าผิดกฎหมาย มีมาตรา 8 ระบุเพิ่มว่าผู้ที่กระทำชำเราหรือสำเร็จความใคร่คนอายุต่ำกว่า 18 มีโทษ
   
         รวมถึงมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฉบับที่ 3 ที่เพิ่งออกมาเมื่อปี 2560 ระบุรายละเอียดให้คนจัดซื้อ จัดหา คนจำหน่าย พามา ส่งไป ที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี หรือนำมาผลิตสื่อลามกถือว่ามีความผิด ต้องปรับและจำโทษ อย่างที่เห็นในหน้าข่าว “ป๋ากบ” หรือคนเชียร์แขกถือว่ามีความผิดเพราะเป็นส่วนหนึ่งของนิติบุคคล
   
         อาจารย์สุภางค์ ระบุอีกว่า การโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอถือว่าเหมาะสมและถูกต้อง เพราะเป็นเรื่องค้ามนุษย์ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะมีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อส่วย
   
         “ต้องยอมรับว่าประเทศเราหย่อนยานเรื่องกฎหมาย การรับส่วยทำกันจนเป็นประเพณี เวลามีข่าวค้นอาบอบนวดจะเจอแผ่นส่วยเสมอ แต่ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ และเมื่อก่อนตำรวจก็มองว่าเป็นแค่เศษกระดาษ ไม่เคยยอมรับว่าเป็นหลักฐานได้ ใช้วิธีย้ายเจ้าหน้าที่ที่มีความผิด หรือเด้งไปเด้งมาภายในนครบาล”

         ข้อมูลงานศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าอาชีพให้บริการในสถานบันเทิง หรือสถานบริการกลางคืน เช่น หมอนวด นักร้อง ไม่ได้เป็นอาชีพที่ขาดแคลนที่ต้องนำคนต่างชาติมาทำงานแทนคนไทยเหมือนอาชีพก่อสร้าง และปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นแหล่งรายได้ของรัฐ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่

         เช่นเดียวกับบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ต้องช่วยออกไปและส่งกลับบ้านเมืองของเขา อาจารย์สุภางค์แนะนำว่าการให้ที่พักพิงในบ้านพักทำให้เหยื่อรู้สึกว่าถูกกักขัง เจ้าหน้าที่รัฐควรใช้วิธีให้ปากคำไว้ล่วงหน้า หรือใช้วิธีการไต่สวนผ่านประชุมวีดิทัศน์แทน
  
         ส่วนการเปลี่ยนแปลงให้การขายบริการทางเพศในประเทศไทยเป็นเรื่องถูกกฎหมายจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน สังคมไทยจะสามารถขึ้นทะเบียนคนขายบริการอย่างถูกต้อง มีการตรวจโรคและเสียภาษีอย่างจริงจังเหมือนในต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ หรือไม่ อาจารย์สุภางค์ยังคงตอบว่าไทยยังไม่สามารถขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้ เพราะสังคมยังมีมิติด้านศีลธรรมจรรยาสูง จึงไม่ยอมรับให้การประกอบกิจการแบบนี้ถูกกฎหมายได้ น่าจะต้องอาศัยเวลายาวนานอีกอย่างน้อย 10-20 ปี กว่าจะเปลี่ยนได้