
“โภคิน” ถอดบทเรียน “จีน” สู่ บทบาทรัฐบาล ไทย
เมื่อโภคิณ พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ในบทบาทนายกสมาคมวัฒนธรรมเศรษฐกิจไทย-จีน มองบทบาทรัฐบาลไทย เปรียบเทียบบทเรียนของจีน ยังมีอะไรต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อพัฒนาชาติ
เนื่องจากงานสัมมนา ทิศทางนโยบายของจีน ภายใต้มติสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน สมัยที่ 19 จัดโดย สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน, กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน และ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำราชอาณาจักรไทย ทีมข่าวคมชัดลึกออนไลน์ มีโอกาสสัมภาษณ์ “ดร.โภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน” ถึงทิศทางการพัฒนาประเทศภายใต้แบบฉบับของประเทศมหาอำนาจในเอเชีย ผ่านยุทธศาสตร์ อี่ไต้ อี่ลู่ หรือ Belt and Road ที่ใช้เวลา 4 ปีสร้างจุดร่วมและมีส่วนร่วมผลักดันภายใต้ทิศทางเดียวกันของประชาชนจีน มุมมองเปรียบเทียบ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จวนครบ 4 ปีของการบริหาร กับการผลักดันชาติไทยให้มียุทธศาสตร์และแนวทางปฏิรูปประเทศที่เป็นแบบแผน แต่ยังขาดการสร้างจุดร่วมและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
อะไรคือ ปมปัญหา และเวลาที่เหลืออีก ปีเศษของ รัฐบาล คสช. อะไรคือแนวทะลุช่องเพื่อไปสู่เป้าหมาย “ดร.โภคิน” สะท้อนภาพว่า นโยบายอี่ไต่ อี่ลู่ คือ แนวทางการพัฒนาประเทศ ที่เขาตั้งเป้าว่าภายในศักราช 2020-2050 ประเทศจีนต้องเป็นประเทศที่ก้าวสู่ความพัฒนา ประชากรของประเทศต้องก้าวพ้นเส้นต่ำสุดของความยากจน ซึ่งเขาสร้างเป้าหมายให้เห็นว่า คนในประเทศจะได้รับประโยชน์อย่างไร ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม รวมถึงสร้างการแสวงหาโอกาสที่จะทำการค้า การเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ซึ่งเป้าหมายของเขาวางไว้ชัดเจน และประชากรเข้าใจ เขาถึงกลายเป็นส่วนร่วมและส่วนผลักดันการปฏิบัติงานอย่างสำคัญ แม้จะเป็นคนที่ในภูมิภาคเหนือสุด, ใต้สุด , ตะวันออกสุด ก็ตาม
“คำพูดของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง บอกชัดเจนว่า ถ้าเราคบกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียม ต่อให้เป็นชาติใหญ่ หรือชาติเล็ก เมื่อเราจะทำอะไรร่วมกัน ต้องอยู่บนความเสมอภาค วิน-วิน สำหรับวิธีการที่เขาใช้ คือ การปรึกษาหารือ ให้ลงไปหาชาวบ้าน ให้เขาสะท้อนปัญหา และหาความรู้จากชาวบ้าน แล้วนำมาวิเคราะห์ ประมวลผลเพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย โดยไม่ใช่ศักยภาพที่เหนือกว่า หรือศักยภาพทางการทหารเข้าไปกดดัน แต่ของไทย แม้จะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และมีกล่าวเป้าหมายไว้บ้าง แต่ยังมีข้อแตกต่าง และถือว่าเป็นจุดอับของรัฐบาลคสช.”
จุดอับของ “คสช.” ที่ “ดร.โภคิน” มอง ถูกขยายความไว้ว่า เพราะทัศนคติที่มอง เพื่อนร่วมชาติ ประชาชน และพรรคการเมืองเป็นศัตรู มองในมุมลบ ทำให้ขาดปัจจัยที่เข้าใจว่าสังคมไทยที่แท้จริงคืออะไร เพราะเมื่อสายตาหรือความคิดถูกบดบัง มองเชิงลบ ก็จึกว่าตนเองนั้นดีทั้งหมด ทั้งที่ความจริงไม่มีใครดี ใครเลวไปกว่ากัน หากคุณจะรับใช้ประชาชน แต่ไม่เข้าหา ไม่ถามประชาชน หรือให้ประชาชนตัดสินใจ จะรู้จริงอย่างไร ว่า สิ่งที่ทำนั้น คือ สิ่งที่ใช่
“ข้อแตกต่างสำคัญ พรรคคอมมิวนิสต์จีน อยู่เหนือกลุ่มทุนใหญ่ทั้งหมด อยู่เหนือรัฐบาล และรัฐ ขณะที่ประเทศตะวันตก หรือแม้แต่ประเทศไทย กลุ่มทุนใหญ่อยู่เหนือรัฐ อยู่เหนือทุกองค์กร คุณอย่านึกว่าระบบทหาร จะไม่ฟังจะไม่ร่วมมือกับกลุ่มทุนใหญ่ ผมเชื่อว่าหากกลุ่มทุนใหญ่ขออะไร เขาก็จะได้ทั้งหมด แต่นี่ไม่ได้แปลว่ารูปแบบไหนจะได้เปรียบ เสียเปรียบ เพราะทุกอย่างล้วนมีข้อดีและข้อเสีย แต่ขึ้นอยู่ว่าจะคุมอย่างไร จะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างไร” ดร.โภคิน วิเคราะห์
ขณะที่บทบาท ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.” ฐานะผู้นำนั้น สะท้อนในสายตาของ นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่เห็นผู้นำ ออกมาพูดให้คนใจได้ว่า ทำไมเธอต้องตามฉัน เธอตามฉันเพราะอะไร แล้วฉันจะนำเธอไปสู่อะไร อย่างจีน คนจีนทุกหมู่บ้านเขารู้ว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไร จาก อี่ไต่ อี่ลู้ แต่ของไทย หากถามว่า เออีซี คนเชียงราย คนตาก คนหนองคาย คนปัตตานี เขารู้ไหมว่าจะได้ประโยชน์อะไร ผมเชื่อว่าหากทำให้คนไทยรู้ว่าเขาจะได้ประโยชน์จะเกิดพลัง และก้าวไปด้วยกันอย่างเป็นระบบได้”
ดังนั้นช่วงเวลา ปีเศษของ คสช. ที่เหลืออยู่ ก่อนถึงวันเลือกตั้งในปลายปี 2561 นั้น “ดร.โภคิน” มองว่ายังมีโอกาสพลิกฟื้นวิกฤต โดยเริ่มต้นจากการปรับทัศนคติ ผู้นำประเทศ! โดยเลิกมองคนไทยเป็นศัตรู อย่าเกลียด อย่าโกรธ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเรา ต้องกลับมาคิดว่าทำไมเราพูดแล้วเขาไม่เชื่อ หากเราพูดถูก อาจมีบางสิ่งกั้นไว้ ต้องวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะตัวเราหรือไม่ หากเกิดจากเขาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจดีขึ้น รวมถึงอย่าดูถูกว่าคนไทยโง่ ถูกเงินซื้อได้ เพราะยุคที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึง ชาวบ้านเขารู้ หากเราแสดงความเฉิ่ม ความบ้องตื้นเขาก็จะรับรู้ได้ทันที
ส่วนทิศทางการเมืองไทย ในสายตา “โภคิน” ฐานะผู้คร่ำหวอดในถนนการเมือง มองภาพหลังจากที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศตัวเป็นนักการเมืองและไม่ปิดทางเข้าสู่อำนาจอีกรอบ ฐานะ นายกฯ คนนอก มองว่า คนที่ตัดสินได้ คือ ประชาชน สิ่งที่ต้องคิดเพื่อให้รู้ความจริงให้ได้ คือ เกือบ 4 ปีของรัฐบาลที่ผ่านมา เขาได้ประโยชน์ เขามีความสุข และมีความหวังว่าอยากให้เป็นใน 4 ปีต่อไปเรื่อยๆ หรือไม่ หากไม่ใช่ แล้วฝืนดันทุรัง คนที่จะรับเคราะห์ คือ คนไทย
“สำหรับการเลือกตั้งผมเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ภายใต้กติกา และกฎหมายที่ออกมา เชื่อว่าจะทำเกิดข้อยุ่งยาก และเป็นจุดสะสมปัญหา เพราะคุณได้สร้างกลไกที่ยุ่งเหยิง น่าปวดหัว ยุ่งเสียจนจะตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนทหารยังทำได้ยาก”
กับประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะคัมแบ็คทางการเมืองแบบนักการเมืองเต็มตัวนั้น “อดีตนักการเมืองผู้นี้” ยอมรับว่ามองไม่ออก แต่เข้าใจว่าเมื่อคนเป็นใหญ่ มีตำแหน่งสูงๆ มีคนแวดล้อมเยอะ บ่อยครั้งคนแวดล้อมได้ประโยชน์จึงอยากไม่อยากให้นายลง ไม่อยากให้ถอยอย่างสง่างาม หรือแท้จริงอาจไม่มีภัยคุกคามก็บอกไม่ได้ หรือกลัวจะถูกเอาคือจากคนที่เคยถูกรังแก ดังนั้นหากเราคิดและมั่นใจว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง เข้ามาวารากฐานแล้ว ที่เหลือเป็นภาระคนรุ่นต่อไป ต้องกล้าหาญเดิมอย่างนั้น ทำทุกอย่างให้เป็นธรรม เลือกตั้งสุจริต ยุติธรรม ไม่ใช่ใช้อำนาจที่มีเพื่อเอื้อให้กับการเลือกตั้ง
“หากลึกๆ เขาเขียนกฎเกณฑ์ของตนเองเพื่อให้คนนี้ช่วยคนนั้น หรือคนนี้ ผมมองว่านี่คือ สุดยอดคอร์รัปชั่น และหากยังทำเพื่อให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม ต่อให้มีเลือกตั้ง ผลที่ออกมาจะไม่ได้รับการยอมรับ”
ขณะที่แนวทางที่ถูกเสนอผ่านสังคม ให้พรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ร่วมมือสะกัดนายกฯ คนนอก หรือ นายกฯของทหาร นั้น “อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย” มองว่าในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่เคยมีพรรคไหนจะประกาศร่วมกันก่อนการแข่งขันเลือกตั้ง ดังนั้นแนวทางนี้จึงไม่น่าเป็นไปได้ แต่สาระสำคัญของประเด็นนี้ของการเลือกนายกฯ คือ พรรคใดจะได้เสียงข้างมากเด็ดขาดหรือไม่ หรือพรรคใหญ่ตกลงกันได้หรือไม่ หากพรรคทำได้ นายกฯ คนนอกก็เกิดยาก
ส่วนปัจจัย 250 เสียงจาก ส.ว. ที่เป็นตัวแปรให้เกิดการโหวต “นายกฯคนนอก” นั้น “โภคิน” มองว่า ไม่ง่าย เพราะแม้มีฐานคะแนน 250 เสียงตุนไว้ แต่ต้องหาจาก สภาผู้แทนราษฎร ให้ได้อย่างต่ำ 260 เสียงหรือต้องได้เกิน 300 เสียง ถึงจะการันตีการทำงานได้ไม่มีปัญหา หรือต่อให้เขาทำทุกวิถีทาง เพื่อให้กลับมา มีกลไกกุมองค์กรอิสระ หรือศาลได้หมด เชื่อว่างานนี้มีเหนื่อย
“แม้วันนี้คุณบอกว่า คุณเป็นนักการเมือง แต่แค่คำพูดเท่านั้น แต่จะมีจิตวิญญาณของความเป็นนักการเมือง ที่ต้องอดทน ไม่โกรธ และรู้สึกดีกับชาวบ้างเพียงพอหรือไม่ รวมถึงการทำงานในรัฐบาลปกติและรัฐสภาต้องถูกตรวจสอบจากสภาฯ และสื่อมวลชนด้วย คุณจะทนได้หรือ?”
--------
ขนิษฐา เทพจร