
เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ“ดุษฎี อารยวุฒิ”
ผลพวงการช่วย“แพะ” ที่ถลำออกจากจุดสมดุล ไปไกลถึง"ขบวนการรับจ้างติดคุก" ส่งผลให้ "ดุษฎี อารยวุฒิ" รองปลัดยุติธรรม สะเทือนและพลอยเสียรังวัด ไปด้วย
ผลพวงการช่วย“แพะ” ที่ถลำออกจากจุดสมดุล ไปไกลถึงขบวนการรับจ้างติดคุก ในคดีอุบัติเหตุขับรถชนผู้ขับขี่จักรยานเสียชีวิต ของ ครูจอมทรัพย์ “จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร” ไม่เพียงกระทบต่อการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม แต่ยังทำให้ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม พลอยเสียรังวัด ไปด้วย
หากย้อนไปเปิดประวัติอันสุดแสนโลดโผนของ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ จะพบว่า “รองฯโด่ง”คนนี้ เคยเป็นเพื่อนรัก ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตผบ.ศอ.บต.ในยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนจะหันหลังให้กันตามบทบาทภารกิจปราบโกง และยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
ขณะที่รับราชการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พ.ต.อ.ดุษฎี มีผลงานค่อนข้างโดดเด่นในงานจับกุมนักค้าเฮโรอีน และเป็นผู้วิเคราะห์พฤติกรรมนักค้ายารายใหญ่ในชุมชนคลองเตย นำไปสู่การวางแผนเข้าจับกุมนายสุภาพ หรือเจ้าของฉายา “ภาพ 70 ไร่” ในข้อหาสมคบค้ายา
จากนั้น พ.ต.อ.ดุษฎี ตัดสินใจโอนย้ายมาสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและการตรวจสอบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในยุคที่ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ โดยพ.ต.อ.ดุษฎี ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานสืบสวนสะกดรอย และคุมการใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ โดยฝากผลงานไว้กับภารกิจ กวาดล้างมาเฟียต่างชาติ"แก๊งแบนดิโดส"ซึ่งแผ่อิทธิพลในเกาะสมุยและเมืองพัทยา
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม
ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติยุค คมช. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พ.ต.อ.ดุษฏี ถูกเด้งไปกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกลับไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน
และเมื่อมีการเปลี่ยนขั้วการเมืองจากคดียุบพรรคพลังประชาชน พ.ต.อ.ดุษฏี มีโอกาสโชว์ผลงานสืบสวนในทางลับถึงเส้นทางการเงินอุดหนุนม็อบการเมือง และข้อร้องเรียนการบริหารงานไม่โปร่งใสของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งผลการสืบสวนเตะตา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรียุติธรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้รับการผลักดันให้ขยับเป็น“ผู้ตรวจราชการกระทรวง" กินตำแหน่งซี 10
และเมื่อเข้าสู่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในปี 2555 พ.ต.อ.ดุษฏี ได้รับการวางตัวให้เป็น เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)จึงได้วางเป้าหมายงานปราบโกงเชิงรุก 3 เป้าหลักๆ ได้แก่ 1. การตรวจสอบขบวนการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์หรู โดยสวมสิทธินักเรียนนอก ก่อนจะขยายผลไปถึงขบวนการนำเข้ารถยนต์ของกลุ่มผู้ค้าเกรย์มาร์เก็ต 2. การบุกรุกสาธารณสมบัติของชาติและนำมาออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ซึ่ง ปปท.จะเน้นตรวจสอบในที่ดินกลุ่มที่มีราคาสูง นำร่องในจังหวัดภาคใต้ แถบชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย และพื้นที่ป่าเขาใกล้เขตอุทยาน และ 3. การทุจริตฉ้อโกงรัฐในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ ของ อภิชาต จันทรสกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยนำสัญญาขายข้าวไปเวียนเทียนกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน
ซึ่งทั้ง 3 ภารกิจของป.ป.ท. ได้ตีวงชกกวาดเรียบ ขวาตาย ซ้ายสลบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน รับเต็มๆกันไปถ้วนหน้า ด้วยความมุ่งมั่นในภารกิจปราบโกงแบบไม่มีพวกเรา ไม่มีพวกเขา พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ จึงถูกย้ายจากเลขาธิการป.ป.ท.มาเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และด้วยเหตุที่"รองโด่ง"ไม่ได้รับภารกิจให้ปฏิบัติงานด้านใดเป็นพิเศษ จึงถูกแซวกันว่าเป็นรองปลัดที่มีรหัสวิทยุเรียกขาน ห่านฟ้า…กินยุง
ต่อมาในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งในช่วงแรกมีพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ดุษฎี ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มภารกิจปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ จึงมีการขอตัวข้าราชการจากดีเอสไอและป.ป.ท.มาช่วยราชการเพื่อเป็นชุดเฉพาะกิจ มีผลงานในการตรวจสอบที่ดินบุกรุกป่าเขาใหญ่ เริ่มต้นที่สนามแข่งรถยนต์โบนันซ่าบุกรุกป่าสงวน, คฤหาสน์ผานายพลบุกรุกพื้นที่ทหารรบพิเศษ ป่าหวาย ซึ่งผลการตรวจสอบนำไปสู่การเรียกคืนที่ดินกลับคืนให้รัฐ
แต่งานที่พอจะรุ่งก็ต้องหยุดชะงักพับแผนลงอีก จากการที่เขาทำการตรวจสอบขยายพื้นที่ออกไปยังที่ดินกว่า 20,000 ไร่ ของ“นิคมสร้างตนเองลำตะคอง” ซึ่งตามวัตถุประสงค์ต้องแจกให้กับเกษตรกรที่ยากจนไม่มีที่ดินทำกิน หรือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนลำตะคอง แต่ในทางปฏิบัติข้าราชการ นักธุรกิจและนักการเมือง เป็นผู้ได้รับแจกจ่ายที่ดิน รวมถึงการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ในโครงการคีรีมายา ซึ่งมีที่มาจากการนำออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ก่อนนำไปยื่นกู้กับธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือบีบีซี ส่งผลให้เกิดเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง ฟองสบู่แตก ก่อนที่ดินแปลงดังกล่าวจะถูกขายทอดตลาดของกรมบังคับคดีและนำไปก่อสร้างเป็นคีรีมายาในปัจจุบัน โดยรัฐบาลระบุว่าปัญหาเกิดจากแผนที่ของหน่วยราชการทับซ้อนกันเอง จึงขอแก้ปัญหาภาพรวมด้วย ONE MAP ซึ่งจะแล้วเสร็จกลางปี 61
พ.ต.อ.ดุษฏี จึงหันไปจับงานการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเปิดห้องทำงานชั้น 8 รับเรื่องร้องทุกข์ เป็นประจำทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นแพะในคดีอาญา ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่เป็นธรรม มีผู้เดือดร้อนมาร้องทุกข์แล้วมากกว่า 250 เรื่อง ผลงานที่ประสบความสำเร็จ ช่วย“แพะ”พ้นคุกมากกว่า 10 คดี สร้างชื่อเสียงให้กับรัฐบาลภายใต้ภารกิจกระจายความยุติธรรมเข้าให้ถึงหมู่บ้านและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่สำคัญในทุกคดีไม่มีรายใดเลย ที่ฟ้องกลับตำรวจ
ไม่ว่าจะเป็นคดี “ปุ๊วอร์มอัพ” วุฒิชัย ใจสมัคร ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมแฟนสาว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ชุดเฉพาะกิจยธ.ตรวจสอบจนพบว่า ปุ๊ไม่ใช่ผู้กระทำผิด โดยมีหลักฐานสำคัญเป็นดีเอ็นเอในซอกเล็บของผู้ตาย ซึ่งไม่ตรงกับปุ๊ กระทั่งศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง ปุ๊ได้รับการปล่อยตัวหลังถูกจำคุก 3 ปี 6 เดือน
คดีโจ๋อุบล ธวัชชัย รัตนศรี กับพวก 6 คน ถูกกล่าวหาร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิต เหตุเกิดที่อ.เดชอุดม จ.อบุลราชธานี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ชุดเฉพาะกิจยธ.ตรวจสอบโดยทดลองวิถีกระสุนปืน หาทิศทางและเขม่าปืนจากศพผู้ตาย จนศาลฎีกายกฟ้อง ได้รับการปล่อยตัวหลังถูกจำคุก 5 ปี 1 เดือน
คดีนายทรงกลด ทรัพย์มี ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 16 ปี เหตุเกิดที่อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ชุดเฉพาะกิจยธ.สืบสวนจนพบว่าผู้เสียหายในคดียอมรับว่าชี้ตัวคนร้ายผิด โดยผู้ต้องสงสัยมีชื่อว่า “ทรงกลด” เหมือนกันแต่คนละนามสกุล โดยคนร้ายนามสกุลเกลี้ยงน้อย ส่วนนางทรงกลด ทรัพย์มี ไม่เคยเข้ามาบริเวณพื้นที่เกิดเหตุจ.นนทบุรีเลย ต่อมาศาลฎีกาสั่งปล่อยตัวชั่วคราวหลังถูกจำคุกไป 1 ปี 2 เดือน
ส่วนกรณีรื้อฟื้นคดีอาญา งานยากยิ่งกว่าคำว่ายาก ยื่นขอรื้อฟื้นไป 8 เรื่อง ศาลอุทธรณ์ไม่รับรื้อฟื้น 5 เรื่อง ศาลอุทธรณ์รับรื้อฟื้นคดี 3 เรื่อง แต่เมื่อเรื่องถึงศาลฎีกาสั่งไม่รับรื้อฟื้นคดีไปแล้ว 2 เรื่อง คือ คดีหนุ่มใบ้ พัสกร สิงคิ ถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 20 ปี ต่อมามีคนร้ายมารับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำผิด ศาลพิพากษาจำคุก 12 ปี 6 เดือน แต่ในที่สุดศาลฎีกายกคำร้องไม่รับรื้อฟื้นคดีอาญา ให้พัสกร
ตามมาด้วยคดีครูจอมทรัพย์ รูปเรื่องใกล้เคียงกับพัสกร สิงคิ คือ ปรากฏตัวคนร้ายตัวจริง แตกต่างตรงที่คนร้ายที่บอกว่าเป็นตัวจริง รับจ้างมาเพื่อติดคุก เป็นผลให้ล้มล้างความน่าเชื่อถือในพยานหลักฐานที่ชุดเฉพาะกิจหยิบยกขึ้นมาตีในทุกข้อพิรุธ
เป็นผลให้ฝ่ายตำรวจที่กำลังจะถูกปฏิรูปแยกงานสอบสวนออกจากงานจับกุม ออกมารุกไล่จนคนกระทรวงยุติธรรมแทบไม่เหลือกำลังใจช่วย“แพะ”