
ลัทธิ “เล่าย่าง” ลวงอนาจารเด็ก ภาพสะท้อนสังคมอ่อนแอ
“อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อ คือความสัมพันธ์ระหว่างสาวกกับผู้สอน ซึ่งพัฒนาไปสู่จุดที่เกิดความไว้วางใจ บอกอะไรก็เชื่อหมด"
กรณีศึกษาเด็กสาวจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศของ นายเล่าย่าง แซ่จาง เจ้าลัทธิ “ว่างฝือ” น่าคิดว่าเขาใช้กลอุบายอะไรหลอกลวงเด็กสาว และยังมีสาวกผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งขณะนี้ที่ตกเป็นข่าวฉาวไปทั่วทั้งประเทศแล้ว
“ทีมข่าวล่าความจริง ทีวีนาว 26" พูดคุยกับ คุณพ่อวิรัช อมรพัฒนา เจ้าอาวาสวัดพระมหาไถ่ ซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นวัดในคริสตศาสนาที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ คุณพ่อวิรัชตั้งมุมวิเคราะห์ว่า เหตุใดหลักคำสอนของศาสนาที่พัฒนามาเป็นร้อยเป็นพันปีจึงถูกมิจฉาชีพที่สมอ้างว่าเป็นเจ้าลัทธิที่ไม่มีอยู่จริง นำมาฉวยโอกาสหลอกลวงผู้คนได้
“พ่อว่ามันเป็นไดนามิกทางสังคม เป็นมิติทางสังคม ซึ่งแต่ละที่ แต่ละชุมชนจะมีความเชื่อของตนอยู่แล้ว คนที่หลอกลวงก็ใช้พื้นฐานความเชื่อนี้แหละพัฒนาขึ้น อิงจากคัมภีร์ ให้ดูน่าเชื่อถือ และทำตัวให้เป็นบุคคลที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม อย่างเคสที่เป็นข่าว เป็นชุมชนม้ง ซึ่งพื้นฐานเชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณอยู่แล้ว จึงเชื่อเรื่องของผู้ที่สื่อวิญญาณได้ สามารถใช้เรื่องนี้เป็นความเชื่อได้ ปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหม่ในสังคม และไม่ได้จำกัดเฉพาะสังคมต่างจังหวัด แต่ในเมืองก็เหมือนกัน มีผู้นำลัทธิต่างๆ คล้ายกัน มีโครงสร้างเดียวกัน” เจ้าอาวาสวัดพระมหาไถ่ อธิบาย
พฤติการณ์ของนายเล่าย่างที่อ้างเรื่องซาตาน ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย แล้วฉวยโอกาสกระทำอนาจารล่วงละเมิดทางเพศเด็กสาว ทั้งยังห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใคร ถ้าบอกจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ เรื่องราวสุดขั้วแบบนี้หลายคนสงสัยว่าทำไมเด็กสาวถึงหลงเชื่อได้ คุณพ่อวิรัชอธิบายว่า สิ่งที่นายเล่าย่างกล่าวอ้าง เป็นการบิดเบือนคำสอนของศาสนาเพื่อใช้ประโยชน์ และใช้ความไว้วางใจ ทำให้ผู้ที่หลงเชื่อยอมกระทำตามอย่างไม่คำนึงถึงเหตุและผล
“เรื่องซาตาน เรื่องความชั่วร้าย มีอยู่ในทุกศาสนา อยู่ที่ใครจะยกมาอ้างอย่างไรมากกว่า ถือเป็นคำสอนสามัญมากของมนุษย์ คนไม่มีศาสนายังเชื่อว่ามีผี มีปีศาจ ฉะนั้นเป็นประสบการณ์สามัญของมนุษย์ จึงถูกเอามาใช้ประโยชน์”
“ในส่วนของศาสนาคริสต์ก็มี เพราะคำสอนถูกพัฒนาให้เหมาะกับความเชื่อของมนุษย์ แต่ปัจจุบันเราเคยขึ้นไปบนดวงจันทร์มาแล้ว เราคงไม่ได้เชื่อว่าสวรรค์อยู่ข้างบน นรกอยู่ข้างล่าง แต่เชื่อว่ามีที่ที่เป็นที่อยู่ของพระเป็นเจ้า เช่นเดียวกัน ปีศาจคือความชั่วร้าย อาจไม่เป็นตัวเป็นตนเสียทีเดียว เหล่านี้มีอยู่ในคำสอน”
“อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อ คือความสัมพันธ์ระหว่างสาวกกับผู้สอน ซึ่งพัฒนาไปสู่จุดที่เกิดความไว้วางใจ บอกอะไรก็เชื่อหมด เมื่อเชื่อแล้วก็บอกหรือชี้นำให้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับเจ้าของลัทธิได้” เจ้าอาวาสวัดมหาไถ่ กล่าว
เมื่อถามถึงคำสอนเรื่องการแบ่งรายได้ร้อยละ 10 ซึ่งนายเล่าย่างนำมาอ้าง จนได้ส่วนแบ่งจากสาวกที่ทำมาหากินโดยน้ำพักน้ำแรง กระทั่งตัวเจ้าลัทธิเองมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ประเด็นนี้ คุณพ่อวิรัชบอกว่า การแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ให้ศาสนา ตามคัมภีร์มีจริง
“พื้นฐานจากพระคัมภีร์ก็มีแตกออกเป็นหลายลัทธิ หลายนิกายมาก แล้วเราก็เลือกปฏิบัติบางอย่าง ขณะที่บางอย่างไม่ปฏิบัติ ปัจจุบันบางนิกายก็ยังมีการแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์นี้อยู่ เขาเรียกว่าทศสิบ แต่สำหรับคาทอลิกเราไม่เคยมีเก็บ แต่เราให้สนับสนุนตามความสามารถ” คุณพ่อวิรัช ระบุ
หัวใจของการหลอกลวงคือความไว้ใจ ความเชื่อใจที่มาพร้อมกับความศรัทธา แม้จะแก้ไขยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีป้องกันเอาเสียเลย...
“มนุษย์เราโดยรวมอ่อนแอ แสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยว แต่บางทีเราก็หาสิ่งที่มันง่ายเกินไป เป็นความพอใจระยะสั้น ไม่ได้มองหาความจริง จะว่าไปแล้วมนุษย์อ่อนแอหมดไม่ว่าอยู่ตรงไหน ไม่ใช่เฉพาะในชนบทห่างไกล อย่างในเมืองก็เชื่อหมอดู เชื่อวัว 2 หัว เชื่อเลขโทรศัพท์ เชื่อทะเบียนรถ คนในชุมชนชนบทก็คล้ายกัน เชื่อคนที่ตั้งตัวเองขึ้นมาว่าสามารถสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้ มีคำสอนแปลกใหม่ มีคำสัญญาว่าทำแล้วได้แบบนั้นแบบนี้ ซึ่งก็สอดรับกับความต้องการของมนุษย์ที่อ่อนแอ และแสวงหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง”
“การมีประสบการณ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติทำให้เราเป็นบุคคลพิเศษในชุมชนนั้นขึ้นมา ซึ่งในรูปแบบของศาสนาก็มีด้วย แม้แต่ศาสนาก็ถูกนำมาใช้ในทางผิด เพราะความอ่อนแอของมนุษย์ บางครั้งก็ไปแสวงหาหนทางแบบที่มันก็ไม่ตอบโจทย์”
“ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องรู้จักคิด ใช้วิจารณญาณ ใช้เหตุและผล แม้แต่ศาสนาเองก็ต้องมีเหตุและผล ไม่ใช่ความเชื่อล้วนๆ ผมคิดว่าจากปัญหานี้น่าจะกลับมาที่การศึกษาของประเทศเรา เพราะทำให้คนหลงไป อาจจะเนื่องจากการศึกษาไม่ได้กระจายไปอย่างทั่วถึงมากพอ”
นี่คือคำอธิบายดีๆ จากคุณพ่อวิรัช แห่งวัดพระมหาไถ่ ซึ่งน่าจะทำให้สังคมเข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริงของคริสตศาสนามากขึ้น และชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤติการณ์ทางสังคมอย่างหนึ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไขอย่างมีสติ
นลิน สิงหพุทธางกูร, สุชาดา นิ่มนวล