คอลัมนิสต์

จัดระเบียบ !! หลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า”

จัดระเบียบ !! หลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า”

04 ก.ค. 2560

จัดระเบียบหลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า” แก้ได้ที่ “คนกันเอง” : โดย ขนิษฐา เทพจร คมชัดลึกออนไลน์

 

                กับข้อเสนอรายงานการปฏิรูปประเทศ ของ “คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง  สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)”  ต่อการปฏิรูปการปฏิบัติงานในรัฐสภา ถูกโฟกัสอย่างมาก ต่อข้อเสนอให้ ปรับปรุงบทบาทและหน้าที่ของ “สถาบันพระปกเกล้า” และ จัดระเบียบ “หลักสูตรของสถาบัน” ที่ถูกตั้งแง่ว่าเป็นจุดรวมพลของเครือข่ายผู้หวังผลประโยชน์

                ในข้อเสนอของรายงาน มีสาระหลัก ได้แก่  1.ปรับปรุงงานสนับสนุนด้านวิชาการ ด้วยการทำระบบหอสมุด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภาตามความต้องการอย่างทันที รวมถึงจัดระบบประชาสัมพันธ์ผลงานของสมาชิกรัฐสภาให้ประชาชนรับรู้, 2.เพิ่มบทบาทในงานรับฟังความคิดเห็น และวิเคราะห์ผลกระทบในการตรากฎหมาย,3.เพิ่มกิจกรรมเชิงปฏิบัติด้านการศึกษาทางด้านการเมืองและระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐสภามอบหมาย ในเนื้อหาเสนอให้จัดระเบียบ “หลักสูตรของสถาบัน” โดยเฉพาะการจัดประเภทผู้เข้ารับอบรมที่ไม่ปนกัน เช่น เฉพาะฝ่ายการเมืองเท่านั้น, เฉพาะข้าราชการระดับสูงเท่านั้น เพื่อป้องกันการสร้างเครือข่ายที่มุ่งหาประโยชน์ของผู้เข้าอบรม

                โดยแนวคิดและที่มาของข้อเสนอ “เสรี สุวรรณภานนท์ ฐานะประธานกมธ.ฯ”  ขยายความ ว่า “ที่ผ่านมาสถาบันพระปกเกล้า ไม่ตอบสนองงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภาได้ดีเท่าที่ควร เพราะมีแต่การสอนหนังสือ แม้จะสอนเรื่องการเมืองการปกครอง แต่ผลลัพท์กลับไม่ทำให้การเมืองดีขึ้น อีกทั้งในโครงสร้างของสถาบันฯ ที่เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลในแวดวงรัฐสภาจึงไม่มีใครกล้ายุ่งทั้งที่มีปัญหา โดยเฉพาะการจัดหลักสูตรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อสร้างเครือข่ายหาผลประโยชน์ของผู้รับการอบรม”

จัดระเบียบ !! หลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า”

(เสรี สุวรรณภานนท์)

                แต่เหตุผลของ “ประธาน กมธ.ฯ” และข้อเสนอของรายงานปฏิรูประบบรัฐสภา ส่วนของสถาบันพระปกเกล้า ไม่มีตัวบทพิสูจน์ใดที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงความเห็นจากบุคคลที่มีประสบการณ์ตรง และมองว่าเป็นข้อบกพร่อง

                อย่างไรก็ดี เมื่อรายงานฉบับนี้ ถูกถูกโฟกัสปัญหาและ มีข้อเสนอต่อการจัด “จัดระเบียบหลักสูตร” ที่ถูกนำไปหาผลพลอยได้ในด้านต่างๆ นั้น “ดร.ถวิลวดี บุรีกุล  กรรมการสถาบันฯ และผู้อำนวยการสำนักวิจัย และพัฒนา” ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ กรณีที่ผู้เข้ารับการอบรมจะสร้างความรู้จักและสานสัมพันธ์ภายหลังจากที่จบหลักสูตรไปแล้ว แต่สิ่งที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นจุดอ่อนนั้น สถาบันฯ เตรียมที่จะปรับปรุงและพัฒนาบททดสอบ ซึ่งเน้นด้านจิตสำนึกสาธารณะและการทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม

 

จัดระเบียบ !! หลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า”

                ด้านมุมมองที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็น จุดอ่อน และนำไปการเมืองที่ล้มเหลว นั้น “ดร.ถวิลวดี” อธิบายความไว้ว่า การจัดหลักสูตรต่างๆ ของสถาบันนั้น จะถูกกำกับโดย  2 ส่วน คือ คณะกรรมการของสถาบัน, คณะกรรมการหลักสูตร ส่วนการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าอบรมแต่ละหลักสูตร นั้นจะถูกคุม โดย 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.คณะกรรมการหลักสูตร ที่จัดทำสาระและกำหนดประเภทผู้อบรมที่หลากหลาย 2.คณะกรรมการคัดเลือก ที่มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร, การทดสอบความตั้งใจ ความรู้และผลงาน และ 3.คณะกรรมการสถาบันฯ ที่ต้องเป็นผู้ลงนามอนุมัติ

                “หลักสูตรที่จัดให้บุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูง ยอมรับว่าจะกำหนดโควต้าผู้ที่เข้าเรียนตามสัดส่วน เช่น ภาคเอกชน , ภาครัฐ ซึ่งมาจากการคัดเลือกขอหน่วยงาน, ท้องถิ่น, องค์กรอิสระ, กลุ่ม เอ็นจีโอ, ภาคประชาสังคม,  สื่อมวลชน ขณะที่หลักสูตรที่กำหนดโควต้าให้เป็นระดับประชาชนหรือผู้นำยุคใหม่ ต้องมีการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์จากคณะกรรมการคัดเลือก” ดร.ถวิลวดี อธิบาย

                ขณะที่ประเด็น “เด็กฝาก” นั้น กรรมกาสถาบันฯ ยอมรับว่า “แม้จะมีแต่หลักสำคัญ คือ ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน พร้อมกับต้องเข้าสู่การคัดเลือกจากการสัมภาษณ์ ตามระเบียบของสถาบันฯ ทั้งนี้มีกติกาที่สำคัญ อาทิ ห้ามผู้อบรมเรียนหลักสูตรซ้ำซ้อน หรือเรียนต่อเนื่อง หลักสูตรชนหลักสูตร ขณะที่บุคคลที่มีความสัมพันธ์เป็น สามี หรือภรรยา หรือบุตรจะกำหนดห้ามเรียนในหลักสูตรใดพร้อมกัน หรือเรียนหลักสูตรเดียวกันในช่วงเวลาต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิได้เรียน หรือเข้ารับอบรมในหลักสูตร

                ขณะที่การคัดเลือกผู้เข้ารับการอบรมนั้น ตามคำอธิบายที่จะถูกพิจารณาจากกรรมการคัดเลือก ที่ประกอบด้วย  ผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการของสถาบัน   เมื่อส่องดูโครงสร้าของกรรมการ จะพบว่า กำหนดให้กรรมการฯ มาจากฝ่ายการเมืองในรัฐสภา คือ ประธานรัฐสภา , รองประธานวุฒิสภา, ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ,  กรรมาธิการ ของส.ส. และ ส.ว. แต่ในปัจจุบันที่มี “สนช.”เป็นโครงสร้างเดียวของรัฐสภา กรรมการสถาบัฯ ชุดปัจจุบัน จึงมี คนจาก “สนช.” นั่งทำหน้าที่ ได้แก่ “พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธาน”,  “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. คนที่1” – พีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. คนที่ 2 เป็นรองประธานสถาบันฯ และสมาชิกสนช. อาทิ ตวง อันทะไชย, วัลลภ ตังคณานุรักษ์, สมชาย แสวงการ, กล้านรงค์ จันทิก ร่วมเป็นกรรมการ

                บทบาทสำคัญของกรรมการสถาบันฯ คือ นอกจากจะร่วมคัดเลือกบุคคลให้ผ่านการอบรม แล้ว ต้องลงนามอนุมัติฯ สิทธิเรียนให้กับผู้ที่ผ่านคัดเลือก

จัดระเบียบ !! หลักสูตรคอนเน็คชั่น “พระปกเกล้า”

                ต่อประเด็นนี้ “สมบัติ บุญงามอนงค์” อดีตนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข หรือ 4ส. รุ่น6 ชี้จุดไว้ว่า “การสร้างเครือข่ายเพื่อหาผลประโยชน์ของผู้อบรมนั้น มีไม่เยอะ แต่มีอยู่จริง และรับรู้กันว่าเป็นเด็กฝาก หาก สปท. จะแก้ไขเรื่องคอนเน็คชั่น ทำง่ายๆ คือ แก้ที่คณะกรรมการคัดเลือกผู้อบรม ให้มีความโปร่งใสอย่างแท้จริง”

                และในทัศนะของผู้ที่เคยถูกชวนให้เข้าร่วมอบรม หลักสูตร 4ส ซึ่งเป็น 1 ในผู้อบรมที่ถูก “กรรมการคัดเลือก” ต้องชั่งใจหนักว่าจะ รับเข้าอบรมดีหรือไม่?  “สมบัติ” เล่าว่า “การคัดเลือกของกรรมการฯ มีหลายขั้นตอน นอกจากจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ยังต้องนำรายชื่อให้กรรมการฯ  พิจารณาว่าจะรับ หรือไม่รับ ซึ่ง ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกอภิปรายกันอย่างหนัก แต่ด้วยความที่หลักสูตร 4ส.ซึ่งเน้นการเรียนรู้เพื่อการสร้างสันติในสังคม ลดความขัดแย้ง และหาทางออกด้วยสันติวิธี ผมจึงผ่านและได้รับอนุมัติให้ร่วมหลักสูตร  ทั้งนี้ผมสนับสนุนให้ สถาบันพระปกเกล้าฯ จัดหลักสูตรวิชาการที่เปิดกว้างกับบุคคลหลากหลายประเภท หลากหลายแนวคิดเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรเดียวกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และต่อยอดเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย

                ย้อนมาดูที่ข้อเสนอในรายงานของสปท. มีแนวทางสานต่อแนวคิดปฏิรูปไว้สำคัญ คือ การแก้ไข “พระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2541” เพื่อปูทางไปสู่การจัดระเบียบและปรับปรุงหลักสูตร ดังนั้นเมื่อ “สปท.” เห็นชอบต่อรายงานแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการนำส่งรายงานพร้อมความเห็น ต่อ “สนช.”

               ึ่งเป็นจุดวัดใจอย่างสำคัญว่า จะกล้าทำมากน้อยแค่ไหน? เมื่อต้นตอปัญหาก็มาจากคนกันเองทั้งนั้น

------

หลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า มีทั้งสิ้น 28 หลักสูตร ได้แก่

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง

ประกอบด้วย 5 หลักสูตร เปิดรับหลักสูตรละ120-140 คน โดยจะกำหนดประเภทของผู้เข้าร่วม อาทิ นักการเมือง, ราชการ.เอกชน, ภาคประชาสังคม เป็นต้น โดยเนื้อหาจะมีทั้งการบรรยาย, อบรม, ศึกษาดูงานต่างประเทศ และในประเทศ และมีการทำรายงาน

 1.การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง เปิดมา 21 รุ่น

 2.การบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน เปิดมา 17 รุ่น

 3.การบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารระดับสูง เปิดมา 15 รุ่น

 4.การเสริมสร้างสังคมสันติสุข เปิดมา 8 รุ่น

 5.การบริหารงานพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน เปิดมา 4 รุ่น

 

หลักสูตรประกาศนียบัตร มี 8 หลักสูตร

โดยเนื้อหาจะเน้นเรื่องความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปตยและในสายงานตามชื่อหลักสูตร เช่น แพทย์, ท้องถิ่น โดยหลักสูตรจะเปิดรับผู้อบรม80 -120 และเสียค่าธรรมเนียม ได้แก่

 1.ผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย เปิดมา7รุ่น

 2.ธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดับกลาง เปิดมา 19 รุ่น

 3.แนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เปิดมา 2 รุ่น

 4.การพัฒนาการเมืองสำหรับผู้บริหารท้องถิ่น รับผู้อบรม 80 เสียค่าธรรมเนียม 59,000 บาท

 5.การบริหารจัดการอค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รับผู้อบรม 80 เสียค่าธรรมเนียม 59,000 บาท

 6.กฎหมายท้องถิ่น เปิดมา 6 รุ่น

 7.ไทยกับประชาคมอาเซียนในเศรษฐกิจการเมืองโลก เปิดมา8รุ่น เตรียมเปิดรับสมัคร ส.ค. นี้

 8.ธรรมาภิบาลสำหรับผู้บริหารทางการแพทย์ เปิดมา5 รุ่น สถาบันฯ จัดร่วมกับ แพทยสภา รับผู้อบรม 120 คน ค่าธรรมเนียม 75,000 บาท

 

หลักสูตรสัมฤทธิบัตร มี 2 หลักสูตร 

 1.การให้บริการสาธารณะโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดมา21รุ่น เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการสาธารณะ

 2.การวางแผนพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการ เปิดมา 3 รุ่น เพื่อสร้างองค์ความรู้ เพื่อต่อยอดนำไปสู่การวางแผนพัฒนาท้องถิ่น

 

หลักสูตรวุฒิบัตร มี 11 หลักสูตร

เพื่อส่งเสริมและยกระดับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องตามตำแหน่ง เช่น ผู้ปฏิบัติงานประจำตัวสมาชิกรัฐสภา เป็นต้น

 1.ผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการประจำตัวสมาชิกรัฐสภา

 2.ผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา

 3.การกำกับดูแลกิจการสำหรับกรรมการและผู้บริหารระดับสูงขอรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน

 4.การเสริมสร้างสังคมสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

 5.การบริหารการเงินการคลังเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน

 6.การพัฒนาผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน

 7.การพัฒนาความสามารถสมาชิกสภาท้องถิ่น

 8.การพัฒนาผู้นำท้องถิ่นในบริบทโลก

 9.ผู้นำท้องถิ่นยุคใหม่

 10.ความรู้ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักสื่อสารมวลชน

 11.การปฏิบัติงานสนับสนุน สนช. และ สปท.

 

หลักสูตรอื่นๆ มี 2 หลักสูตร 

 1.วิทันตสาสมาธิสำหรับนักบริหารเปิดมาแล้ว 7 รุ่น รับรุ่นละประมาณ120คน คุณสมบัติผู้เข้าอบรม ผู้บริหาร พนักงาน หรือเจ้าของที่ของสถาบันฯ หน่วยงานเครือข่ายในศูนย์ราชการ, นักศึกษาหรือผู้ที่เคยผ่านอบรมหลักสูตรต่างๆ ของสถาบัน, เรียน100ชั่วโมง, มีสอบภาคสนามเมื่อจบหลักสูตรตามหลักเกณฑ์ จะได้รับใบประกาศนียบัตรครูสมาธิวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างสถาบันพระพุทธศาสนา เพิ่มพลังจิตตามหลักการหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธฺโร นำหลักไปปรับใช้ในชีวิต

 2.อาจาริยสาสมาธิ (สำหรับวิทันตสาสมาธิฯ) เปิดมาแล้ว6รุ่นจำนวนที่รับรุ่นละ70คนเป็นหลักสูตรต่อยอดวิทันตสาสมาธิ คุณสมบัติผู้เข้าอบรมต้องสำเร็จการอบรมหลักสูตรวิทันตสาสมาธิ หรือ ผู้ที่เผยแพร่สมาธิกตามหลักการของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธฺโร ให้หน่วยงานได้ วัตถุประสงค์เดียวกันกับหลักสูตร วิทันตสาสมาธิสำหรับนักบริหาร