คอลัมนิสต์

7 มาตรการรับมือ “โลนวูล์ฟ” ก่อการร้าย “ข้ามาคนเดียว”

7 มาตรการรับมือ “โลนวูล์ฟ” ก่อการร้าย “ข้ามาคนเดียว”

06 มิ.ย. 2560

“อาจเรียกได้ว่าโซเชียลมีเดีย กลายเป็นแหล่งจัดตั้งผู้ก่อการร้ายแบบโลนวูล์ฟ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทำให้คนเหล่านี้ไม่อยู่ในบัญชีการติดตามของเจ้าหน้าที่รัฐ”

     เหตุการณ์คนร้ายขับรถตู้พุ่งชนผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนสะพานลอนดอน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนลงจากรถไปไล่แทงคนบนทางเท้าและในบาร์ย่านตลาดโบโรห์ เมื่อกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ตอกย้ำกระแสการโจมตีแบบ "โลนวูล์ฟ" หรือการก่อการร้ายเพียงลำพัง

     แม้เหตุการณ์ล่าสุดนี้มีการวิสามัญฆาตกรรมผู้ก่อเหตุถึง 3 คน แต่ก็ยังถือว่ามีจำนวนผู้ก่อเหตุน้อยกว่าการก่อการร้ายในอดีต

     การโจมตี แบบ "โลนวูล์ฟ" เกิดขึ้นหลายครั้งในระยะหลัง โดยเฉพาะช่วงที่กลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส สูญเสียฐานที่มั่นในตะวันออกกลาง และบรรดานักรบพากันเดินทางกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้บ้านไทย

     ขณะที่ผู้นำไอเอสประกาศให้บรรดานักรบและเครือข่ายของพวกเขา ปฏิบัติการโจมตีได้โดยอิสระ ซึ่งโดยนัยแล้วก็หมายถึงรูปแบบการโจมตีแบบ "โลนวูล์ฟ"นั่นเอง

     ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง เพิ่งเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในแมนเชสเตอร์ อารีนา ประเทศอังกฤษ กลางงานคอนเสิร์ตของนักร้องดัง ขณะที่เดือนมีนาคมปีเดียวกัน เกิดเหตุโจมตีด้วยการขับรถไล่ชนและใช้มีดแทงคนที่สัญจรไปมา บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ และอาคารรัฐสภาของอังกฤษ

7 มาตรการรับมือ “โลนวูล์ฟ” ก่อการร้าย “ข้ามาคนเดียว”

     ปีที่แล้ว เดือนกรกฎาคม คนร้ายใช้วิธีขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงคนขณะร่วมงานวันชาติฝรั่งเศส ในเมืองนีซ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 86 คน ต่อมาในเดือน ธันวาคม คนร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนเข้าไปในตลาดคริสต์มาสในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จนมีผู้เสียชีวิต 12 คน โดยที่ทุกกรณี กลุ่มไอเอสอ้างความรับผิดชอบ

     ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง บอกว่า หนึ่งในปัญหาที่ยุ่งยากของงานต่อต้านการก่อการร้ายในปัจจุบันก็คือ ผู้ก่อการร้ายไม่ได้มีลักษณะในแบบเดิมอีกต่อไป เพราะผู้ก่อการร้ายเลือกโจมตีในแบบ "ผู้ปฏิบัติการตามลำพัง" ซึ่งหากใช้แบบสำนวนแบบไทยก็คือเป็นพวก "บุกเดี่ยว" หรือ “ข้ามาคนเดียว”

     ในภาษาของวิชา "ก่อการร้ายศึกษา" แล้ว บุคคลเช่นนี้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นดัง "หมาป่าตัวเดียว" ที่ออกล่าเหยื่อ หรือ lone-wolf terrorists

     ลักษณะของการโจมตีแบบโลนวูล์ฟ ก็คือ ผู้ก่อการร้ายจะก่อเหตุด้วยตัวเอง โดยโลนวูล์ฟมักไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในเครือข่ายหรือโครงสร้างขององค์กรก่อการร้าย แต่พวกเขาปฏิบัติการเพราะอิทธิพลทางความคิดอจากองค์กรภายนอก ซึ่งใช้วิธีการส่งผ่านข้อมูลทางโซเชียลมีเดีย หรือสื่อสังคมออนไลน์

     อาจเรียกได้ว่า "โซเชียลมีเดีย" กลายเป็นแหล่ง "จัดตั้ง" ผู้ก่อการร้ายแบบโลนวูล์ฟ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทำให้คนเหล่านี้ไม่อยู่ในบัญชีการติดตามของเจ้าหน้าที่รัฐ

     การที่ผู้ก่อการร้ายแบบโลนวูล์ฟ เป็นเสมือนกับ "เซลล์ที่นอนหลับ" หรือ sleeper cells ที่รอเวลาและโอกาสในการออกปฏิบัติการ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งภายใต้โครงสร้างที่มีสายการบังคับบัญชา ขอเพียงแต่เวลาและโอกาสมาถึงเท่านั้น ทำให้การป้องกันการก่อการร้ายรูปแบบนี้ทำได้ยากอย่างยิ่ง และสร้างความหนักใจให้หน่วยงานความมั่นคงทั่วโลก จนหลายคนสรุปแบบรวบรัดว่าไม่สามารถหาทางป้องกันได้เลย...

7 มาตรการรับมือ “โลนวูล์ฟ” ก่อการร้าย “ข้ามาคนเดียว”

     แต่ล่าสุดก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้าย พยายามออกแบบมาตรการรับมือ "โลนวูล์ฟ" ซึ่งสามารถสรุปได้ 7 มาตรการ คือ

1.เจ้าหน้าที่ข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคงต้องเรียนรู้คนกลุ่มนี้ให้เหมือนกับตนเองเป็น "โลนวูล์ฟ" ทั้งวิธีคิดและการกระทำ เพื่อให้รู้เท่าทันแผนการของโลนวูล์ฟ

2.เจ้าหน้าที่ข่าวกรองต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อป้องกันและจับกุมให้ได้ก่อนที่คนเหล่านี้จะก่อเหตุ ซึ่งหมายถึงการพัฒนางานด้านข่าวกรองให้เท่าทันกับภัยคุกคาม

3.ฝ่ายความมั่นคงต้องมี "เครื่องมือพิเศษ" เพื่อเฝ้าระวังป้องกันการก่อการร้าย โดยอาจต้องยอมละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของประชาชนบ้าง และพยายามเสริมพลังให้ชุมชนในการช่วยสอดส่องพฤติกรรมของคนในแวดวงของตน

4.ศึกษารูปแบบกลุ่มเสี่ยงของคนที่เป็น "โลนวูล์ฟ" ซึ่งไม่ใช่แค่ศึกษาเฉพาะวิธีปฏิบัติการเท่านั้น แต่ต้องศึกษาเชิงลึกถึงมูลเหตุจูงใจที่ทำให้คนเหล่านี้เป็นโลนวูล์ฟ

5.ปฏิบัติการแบบโลนวูล์ฟ หลายกรณีเกิดในสถานศึกษา เช่น โรงเรียนมัธยม และมหาวิทยาลัย ฉะนั้นหน่วยงานรัฐต้องลงไปสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวและโรงเรียน เพื่อให้ช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเยาวชนกลุ่มเสี่ยง

6.สกัดการเผยแพร่ความคิดและอุดมการณ์ทางโซเชียลมีเดีย โดยต้องมีระบบมอนิเตอร์ข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา และทำลายเว็บไซต์หรือการส่งผ่านข้อมูลที่เข้าข่ายการปลุกระดมก่อการร้าย

7.ควบคุมอาวุธและวัตถุระเบิดอย่างจริงจัง รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องได้

     การรับมือกับการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ ต้องปฏิรูปและปรับกระบวนทัศน์ผู้ที่ทำงานด้านความมั่นคงใหม่ทั้งหมด รวมทั้งต้องให้ข้อมูลกับสังคมและชุมชน เพื่อสร้างพลังในการต่อสู้และหยุดยั้งการก่อการร้ายที่พัฒนารูปแบบและวิธีการอยู่ตลอดเวลา!

7 มาตรการรับมือ “โลนวูล์ฟ” ก่อการร้าย “ข้ามาคนเดียว”

ฝ่ายความมั่นคงไทยยังหลงทาง

มาตรการรับมือก่อการร้าย

     ในงานเสวนาเรื่อง “ไอเอสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทบทวนรากความขัดแย้งเดิม ประเมินแนวทางรับมือภัยคุกคามใหม่” ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วานนี้ (5 มิ.ย.) กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช นักวิชาการอิสระด้านวิกฤติก่อการร้าย กล่าวว่า การป้องกันการก่อการร้าย ในทางปฏิบัติป้องกันได้ยากกว่าภัยธรรมชาติเสียอีก แม้แต่ประเทศที่มีงานด้านข่าวกรองที่เข้มแข็งก็ยังยากที่จะป้องกัน โดยเฉพาะปฏิบัติการแบบ “โลนวูล์ฟ” ฉะนั้นมาตรการรับมือผู้ก่อการร้าย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์

     “แม้แต่ประเทศที่มีงานข่าวกรองดีกว่าเรา ก็ยังเกิดเหตุก่อการร้าย โดยเฉพาะการก่อเหตุแบบโลนวูล์ฟ ซึ่งเขาไม่ได้ต้องใช้อาวุธอะไรมาก แค่มีดหรือรถยนต์สักคัน อย่างกรณีของอังกฤษก็ไม่สามารถป้องกันก่อการร้ายได้ แต่เขามีกล้องซีซีทีวีที่สามารถระบุคนก่อเหตุได้ทันที รวมถึงมีการฝึกประชาชนของเขาอย่างดี ทำให้ประชาชนสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง”

     ย้อนกลับมามองประเทศไทย กฤดิกรบอกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานความมั่นคงไทยมักมองว่าการก่อการร้ายเป็นภัยทางสงคราม แม้กระทั่งรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งไม่ถูกต้อง ฉะนั้นการยอมรับความจริง และสร้างมาตรการรับมือ เช่น การแจ้งเตือนประชาชน จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำมากที่สุด

    “เราไม่เคยยอมรับว่าเราอยู่กับภัยก่อการร้าย เรามองว่าเป็นภัยสงคราม ภัยความมั่นคง จะเห็นได้จากตลอด 13 ปีที่ผ่านมากับปัญหาชายแดนภาคใต้ เราไม่เคยยอมรับ แต่ทุกที่ในโลกมองว่ามันเป็นภัยก่อการร้าย ที่สำคัญเรายังอยู่ในอำนาจนิยมแบบทหาร”

ขอบคุณภาพจาก pixabay