
“วราวุธ ศิลปอาชา” บารมี ไม่เท่า “พ่อบรรหาร”
เมื่อ "ว่าที่เบอร์หนึ่ง" ของพรรคชาติไทยพัฒนา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ "บรรหาร ศิลปอาชา" เริ่มเปิดตัวทางการเมือง "คมชัดลึกออนไลน์" จึงให้เขามาเปิดใจ
หลังสิ้นคนการเมืองที่ชื่อ “บรรหาร ศิลปอาชา” กระแสในพรรคชาติไทยพัฒนา ระส่ำไม่น้อย
เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า “บรรหาร” คือ ต้นไม้ใหญ่ที่คอยดูแล ปกป้อง และ ค้ำจุน พรรคนี้มาตลอด เมื่อสิ้นต้นไม้ใหญ่แล้ว ใคร หรือ กลุ่มใดที่จะเข้ามาเป็นป้อมปราการสำคัญ ประคองให้พรรคชาติไทยพัฒนายืนอยู่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องจับตา
กับทายาททางการเมืองของบ้านศิลปอาชา ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้แทน “หลงจู๊การเมือง” คงหนีไม่พ้น “กัญจนา ศิลปอาชา" บุตรสาวคนโต หรือ “วราวุธ ศิลปอาชา” บุตรชายคนสุดท้องของบ้าน แต่ยามนี้ สปอตไลท์ถูกส่องมาที่ บุตรชายเพียงคนเดียวของบ้าน
ล่าสุด มีนักการเมืองอาวุโสในพรรค ชูธงยกให้เป็น “ว่าที่หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา” คนใหม่เมื่อถึงเวลาฟ้าการเมืองเปิดต้อนรับ
ทีมข่าวคมชัดลึกออนไลน์ นัดสัมภาษณ์ เพื่อค้นตัวตนของ “ลูกท็อป- วราวุธ ศิลปอาชา” ต่อเส้นทางการเมืองที่ผ่านมา และก้าวต่อไป
โดยเจ้าตัวยอมรับว่า ถนนสายการเมืองตลอด 16 ปี นับตั้งแต่การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร เขต1จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อปี 2544 นั้น มี “บรรหาร” ผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นผู้มากบารมีประคองให้เดิน ทำให้เส้นทางการเมือง ของ “นักเรียนนอก” นั้นเป็นความง่ายดาย และไม่ต้องทำอะไรมาก
“ตอนนั้น ผมอายุ 26 ปี ได้ลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรครั้งแรก ที่จ.สุพรรณบุรี หลังจากที่พ่อบรรหาร ขยับไปลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ยอมรับว่าการหาเสียงตอนนั้น ไม่ต้องทำอะไร แค่โผล่หน้าให้เขาเห็น ไปปราศรัย ไปแนะนำตัวกับชาวบ้านให้ครบทุกจุด คะแนนก็มาแน่ๆ ด้วยเพราะบารมีของพ่อบรรหารที่มีมหาศาล ยิ่งเป็นลูกนายบรรหารด้วยแล้ว ทำให้ผลออกมาคือ ชนะ ตอนนั้นผมมองว่าเป็นเรื่องสบาย แต่สบายเกินไป เพราะยามมีปัญหาหรือคิดอะไรไม่ออก บอกพ่อบรรหารคำเดียว ก็แก้ได้หมดทุกเรื่อง”
แต่เส้นทางของ “วราวุธ” กับงานการเมืองนั้น เจ้าตัวบอกว่า ไม่ใช่มาด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะตั้งแต่จำความได้ “นายบรรหาร” ฐานะนักการเมืองได้พา “ลูกท็อป” ติดสอยห้อยตามไปตรวจงาน และร่วมวงเจรจาทางการเมืองอยู่ตลอด ทำให้เกิดความซึมซับ และกลายเป็นเส้นทางที่ตัวเองร่วมฝันว่า ต้องมุ่งสู่จุดหมายคือสนามการเมือง ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยที่ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ และสนามการเมืองเปิดจึงพร้อมและเต็มใจที่จะลงสู่การแข่งขัน
ขณะที่สไตล์การทำงานของ “วราวุธ” นั้นเจ้าตัวเปรยให้ฟังว่า ก่อนที่จะลงสนามการเมือง ช่วงที่ติดตามพ่อบรรหาร ลงไปตรวจงาน เมื่อแสดงความเห็นอะไร ผู้เป็นพ่อจะเห็นแย้ง และเห็นสวนทางกันตลอด แต่นั่นถือเป็นบทเรียนที่ทำให้ "ลูกท็อป” ได้ศึกษาจากประสบการณ์ว่า การตัดสินใจทำงานอะไร ต้องมีความรอบคอบ ประณีประนอม และที่สำคัญ คือ การยึดถือสัจจะนั้นสำคัญ โดยการทำงานให้ได้ตาม “สไตล์บรรหาร” ถือเป็นของยากมาก
“ผมยอมรับว่าศักยภาพไม่เท่าพ่อบรรหาร แต่การทำงานการเมืองต่อจากนี้ จะยึดรูปแบบทำงานแบบกลุ่มก้อน ไม่มีวันแมนโชว์ เพราะผมยังมีจุดอ่อน ที่ต้องการทีมที่มีความคิดใหม่ มีประสบการณ์ มาอุดช่องว่างนั้น ซึ่งผมเชื่อในศักยภาพของน้องๆ ในพรรค ดังนั้นเมื่อเราไม่ใช่คนเก่งจึงเน้นการทำงานเป็นทีมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้พรรคชาติไทยพัฒนา”
สำหรับทีมที่ “วราวุธ” พูดถึง ถูกขนานนามไว้ว่าเป็นกลุ่มเลือดใหม่ ล้วนเป็นกลุ่มทายาทนักการเมืองเลือดแท้พรรคชาติไทย อาทิ “ภราดร – กรวีร์ ปริศนานันทกุล” บุตรชายของ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล มือขวา บรรหาร, เสมอกัน เที่ยงธรรม บุตรชาย จองชัย เที่ยงธรรม นายทุนพรรค รวมถึงนักการเมืองหน้าใหม่สายคหบดีทางอีสาน อย่าง สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งกลุ่มเลือดใหม่ได้นัดพบปะ เพื่อคุยและแลกเปลี่ยนในเรื่องต่างๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์
ต่อประเด็นนี้ “วราวุธ” ฐานะคนเชื่อมระหว่างกลุ่มเลือดใหม่ และ กลุ่มเลือดแท้รุ่นอาวุโส เล่าว่า ทีมเลือดใหม่ เกิดได้ด้วยแรงสนับสนุนของ ผู้อาวุโสในพรรค ทั้ง นิกร จำนง, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล, นายธีระ วงศ์สมุทร , อนุรักษ์ จุรีมาศ ที่มองว่าสถานการณ์การเมืองต้องการความใหม่ และความสด ดังนั้นถึงเวลาที่รุ่นใหญ่ต้องถอยก้าวหนึ่ง เพื่อเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน แต่นั่นไม่ใช่การผลัดใบเก่าทิ้ง แต่คือการทำงานแบบผสมผสานระหว่างแนวคิดใหม่ และประสบการณ์ทางการเมืองของผู้ใหญ่ในพรรค เพื่อสร้างมิติใหม่ของงานการเมือง ที่เน้นการทำงานแบบคู่ขนาน ตอบโจทย์ของสังคมที่ต้องการให้การเมืองมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน และวางเป้าหมายเดียวกัน คือ การไม่สอบตก!
สำหรับแผนการทำงานของกลุ่มเลือดใหม่ ต่องานการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนา “วราวุธ” เล่าว่า คือการให้นักการเมืองพูดคุยกันมากขึ้น การทำงานในสภา ต้องเคารพสิทธิ และเสียงข้างน้อย ขณะที่ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนหากเกิดกรณีที่พบว่านโยบายของรัฐบาลไม่ดี ต้องกล้าเตือนเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดี โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นหลัก รวมถึงต้องฟื้นศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันการเมืองและนักการเมือง จากภาพที่ผ่านมาถูกมองว่า การเมืองคือ ละครดราม่า มีการเล่นนอกกติกา
แต่อุดมคติที่ “ว่าที่เบอร์1ของพรรชาติไทยพัฒนา” ยืนยันต่อ “ทีมข่าวคมชัดลึกออนไลน์” ยามไร้ แม่ทัพ อย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” แล้ว “วราวุธ” ตอบว่า เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะทุกก้าวที่ต้องเดินจากนี้ ต้องใช้ความระวัง สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ การเข้าหาผู้ใหญ่ เพื่อขอคำชี้แนะ และขอความอนุเคราะห์ให้สนับสนุนต่อไป
“ผมยอมรับว่ามีพรรษาทางการเมืองน้อย ถึงน้อยมาก ดังนั้นทุกคนต้องจ้องเขมือบเราอยู่แล้ว ผมต้องอาศัยการเดินไปร่วมกันเพื่อให้ทุกคนเป็นโล่ห์ป้องกันให้รอบด้าน ในประเด็นของการตกเป็นหุ่นเชิดทางการเมืองของผู้หวังผลประโยชน์ ใจผมก็กลัว แต่ไม่ใช่กลัวจนไม่กล้าเดิน ผมมองว่ากลับเป็นความท้าทายเสียอีก ว่า เมื่อวันนี้พ่อบรรหารไม่อยู่แล้ว เราจะรักษามันได้แค่ไหน ซึ่งการรักษานั้นไม่ใช่การรักษาตำแหน่ง หรือรักษาพื้นที่ แต่คือการสานต่องานที่พ่อทำ ทั้งที่บารมีของผมเอง ก็มีไม่เท่าพ่อ”
กับจุดสูงสุดที่คนการเมืองวาดฝัน คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วันที่สนามการเมืองจะเปิด “วราวุธ” บอกว่าไม่ได้คาดหวัง เพราะจากประสบการณ์ที่อยู่ใกล้ชิด “อดีตนายกฯ คนที่ 21” ได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์การเมืองครั้งสำคัญมาตลอด จึงรู้สึกเฉย และไม่มีความอยาก ต่อให้วันหนึ่งจะไม่มีหัวโขนจริงๆ ก็ยังพร้อมทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ผลงาน
โดยสิ่งที่ “วราวุธ” ลั่นว่าจะยึดถือในการทำงาน คือ เดินตามรอย “พ่อบรรหาร” ในคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 1.มีวินัย 2.มีความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร และ 3.ซื่อสัตย์ สุจริตในการทำหน้าที่
นั่นเป็นตัวตนทั้งหมด ของผู้ชาย ชื่อ “วราวุธ ศิลปอาชา” ว่าที่เบอร์หนึ่งของพรรคชาติไทยพัฒนา ในวันที่ฟ้าการเมืองยังไม่เปิด.
------
ขนิษฐา เทพจร