
แฉ!! ประวัติ “โชกุน” สูบเลือดเหยื่อ 4 พันราย ทัวร์ผีญี่ปุ่น
เรียกว่าซวยรับปีใหม่ไทย สำหรับประชาชนหลายพันคนที่ตกเป็นเหยื่อการตุ๋นลวงโลกของ“บริษัท เวลท์ เอเวอร์” ประกอบธุรกิจขายตรงชักจูงให้เหยื่อจองแพ็กเกจทัวร์แดนปลาดิบ
“บริษัท เวลท์ เอเวอร์”ประกอบธุรกิจขายตรง ชักจูงให้เหยื่อจองแพ็กเกจตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ในราคาแสนถูก "หมื่นเดียว เที่ยวญี่ปุ่น" ระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2560 ด้วยการ "สมัครสมาชิกซื้ออาหารเสริมจำนวน 9,730 บาท" เท่านั้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิกอาหารเสริมจะเดินทางด้วย สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค แบบเช่าเหมาลำจำนวน 6 เครื่อง แต่สุดท้ายต้องมานั่งมองหน้ากันเหรอหรา อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ เพราะไม่มีเครื่องให้ขึ้นตามที่บริษัทอวดอ้าง
ความวุ่นวายเกิดขึ้น ในช่วงกลางดึกเวลา 21.00 น. วันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ณ บริเวณอาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 3 และ 4 สนามบินสุวรรณภูมิ หลังมีบรรดาผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่จองแพ็กเกจทัวร์ดังกล่าวตกค้างกว่า 2,000 คน
เมื่อสอบถามพบว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่ทราบข้อมูลเกี่ยวการเดินทางครั้งนี้ จากปากต่อปาก โดยระบุถึง “น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ” หรือ “ซินแสโชกุน”หมอดูชื่อดัง เจ้าของบริษัทที่ให้ข้อมูลแนะนำการสมัครสมาชิกซื้ออาหารเสริม เพื่อได้สิทธิเดินทางไปญี่ปุ่น ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางตลอด 7 วัน มีราคาถูกเพียงไม่ถึงหมื่น จึงทำให้ลูกค้าหลงเชื่อหลายพันคน
ผ่านไปหลายชั่วโมง ความโกลาหลได้เกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ผู้โดยสารต่างส่งเสียงโวยวาย ลั่นสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าเครื่องบินเช่าเหมาลำทั้ง 6 เครื่อง "ไม่มีจริง"
จากนั้นต่อมาเวลา 22.30 น. "ซินแสโชกุน" ส่งคลิปเสียงให้สมาชิกในกลุ่มมีใจความว่า "ไม่ได้จะทิ้งลูกทัวร์ ตั้งใจจะมาพบ แต่เนื่องจากผู้โดยสารรวมตัวกันไปแจ้งความหรือรวบรวมรายชื่อต่างๆ ทำให้ปัญหาบานปลาย ส่งผลกระทบให้เครื่องบินเช่าเหมาลำที่มาจากประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถเดินทางมาลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิได้
จึงขอยกเลิกโปรแกรมทัวร์วันที่ 11 และ 12 เมษายนนี้ ไปก่อน และขอให้ผู้โดยสารทุกคนสลายตัว หากใครไม่ต้องการลงทุนธุรกิจดังกล่าวแล้วให้แจ้งชื่อกับบริษัท บริษัทจะเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้ภายใน 3 วัน พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ขายทัวร์ แค่พาลูกทีมไปท่องเที่ยวเท่านั้น"
เมื่อทราบว่าถูกหลอกตุ้มตู๋นแน่นอน ผู้โดยสารต่างทยอยไปแจ้งความ ทั้งนี้จากการสอบปากคำผู้เสียหายส่วนใหญ่ให้ข้อมูลโยงไปถึงซินแสโชกุนเจ้าของบริษัท ซึ่งตำรวจได้ออกหมายจับ และไล่ล่าไปถึงจ.ระนอง แต่ซินแสโชกุนไหวตัวทันดอดข้ามไปยัง "เกาะสอง"ประเทศพม่าได้ทัน ก่อนเจ้าหน้าที่ไทยจะบุกรวบตัวเพียงไม่กี่อึดใจ
ล่าสุด ดูเหมือนการต้มตุ๋นดังกล่าว ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพราะวันที่ 12 เมษายน 2560 มีประชาชนกว่า 2 พันรายที่ซื้อแพ็กเกจดังกล่าวทยอยเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ โดยหวังจะได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังไปตามระเบียบ
ว่ากันว่าค่าเสียหายจากการตกเป็นเหยื่อครั้งนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท
เมื่อย้อนดูประวัติของซินแสโชกุน เชื่อว่าผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อคงแทบช็อก!! เนื่องจากมีคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่ปี 2555-2559 โดยทุกความผิดเกี่ยวข้องกับทรัพย์ล้วน ๆ ถึง 6 คดี
ประกอบด้วย คดีฉ้อโกงทรัพย์ พื้นที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555, คดีความผิดเกี่ยวกับเช็ค พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2557, คดีฉ้อโกงทรัพย์ พื้นที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2557, คดียักยอกทรัพย์ พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2557, คดีฉ้อโกงประชาชน ที่กองบังคับการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2558 และคดีฉ้อโกงทรัพย์ พื้นที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559
จาก 6 คดีที่ถูกแจ้งความ น.ส.พสิษฐ์ ถูกศาลอนุมัติหมายจับรวม 3 ครั้ง คือ ศาลแขวงสมุทรปราการ คดีฉ้อโกงทรัพย์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555, ศาลจังหวัดนนทบุรี คดีฉ้อโกงประชาชน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 และศาลแขวงนครราชสีมา คดีฉ้อโกงทรัพย์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 โดยทุกคดีมีการถอนหมายจับหมดแล้ว เนื่องจากมีการจับกุมหรือดำเนินคดีแล้วทั้งหมด
ยิ่งไม่ธรรมดาไปกว่านั้น จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม พบว่า น.ส.พสิษฐ์ ได้ไป “เปลี่ยนชื่อและนามสกุล” ในท้องที่ที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี และอำเภอปากเกร็ด ถึง 10 ครั้งด้วยกัน โดย น.ส.พสิษฐ์ มีชื่อเดิมว่า น.ส.สหชม นาคฤทธิ์ ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2543 เปลี่ยนชื่อ "สหชม" เป็น "ทฤษนันท์", 15 กันยายน 2549 เปลี่ยนชื่อ "ทฤษนันท์" เป็น "ณวัชกรณ์"
1 เมษายน 2551 เปลี่ยนชื่อ ณวัชกรณ์ เป็น ศรัณย์พัชร์, 1 เมษายน 2551 เปลี่ยนนามสกุล นาคฤทธิ์ เป็น กิติขจรพัชร์, 16 พฤษภาคม 2557 เปลี่ยนชื่อ ศรัณย์พัชร์ เป็น ภวิศ, 26 กันยายน 2557 เปลี่ยนนามสกุล กิติขจรพัชร์ เป็น นาคฤทธิ์, 29 กันยายน 2557 เปลี่ยนนามสกุล นาคฤทธิ์ เป็น ภูริภัทร์เมฆินทร์, 7 กันยายน 2559 เปลี่ยนนามสกุล ภูริภัทร์เมฆินทร์ เป็น นาคฤทธิ์ และล่าสุด วันที่ 8 กันยายน เปลี่ยนชื่อ ภวิศ เป็น พสิษฐ์ พร้อมเปลี่ยนนามสกุลจากนาคฤทธิ์ เป็น อริญชย์ลาภิศ
ดูประวัติแล้วไม่ธรรมดาจริงๆ...!!!