คอลัมนิสต์

คนรอบวัดธรรมกาย   เป็นอย่างไร ณ วันที่ ม.44 ยังบังคับใช้

คนรอบวัดธรรมกาย เป็นอย่างไร ณ วันที่ ม.44 ยังบังคับใช้

13 มี.ค. 2560

ม.44 ถูกระบุว่าสร้างผลกระทบกับคนโดยรอบวัดพระธรรมกาย เราจึงลงพื้นที่ดูว่า กระทบจริงไหม และชาวบ้านคิดอย่างไร

 เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ภายหลังจากที่คสช. มีประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ของ รัฐธรรมนูญชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรไทย 2557    ให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ดีเอสไอ ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมวัดพระธรรมกาย  และตั้งด่านตรวจค้นถนนโดยรอบวัดพระธรรมกาย
 
    เสียงสะท้อนถึงผลกระทบจากคตนโดยรอบดังขึ้นๆเรื่อย ๆและสุดท้ายเมื่อค้นไม่พบ "พระธัมมชโย" ก็มีข้อเสนอให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว  เราจึงลงพื้นที่สำรวจว่า ที่ผ่านมา ม.44 นั้น  สร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง  

            จุดที่เรียกว่าเข้มงวด โดยเฉพาะถนนเลียบคลอง 3 ที่เป็นทางเข้า ประตู 1 ประตู 4 พื้นที่ 196 ไร่ของวัด เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้บุคคลเข้าไปยังพื้นที่ที่มีประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมได้ แต่ก็อนุญาตให้เดินทางออกจากพื้นที่ได้ และในส่วนของประตู 5 และประตู 6 เลียบคลองแอน ก็มีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านสกัดอย่างเข้มงวด  
 
            ซึ่งในจุดนี้เอง คือจุดเลียบคลอง 3 ที่มีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นจุดที่เป็นประตูประตูทางเข้าคือประตูที่ 5 และประตู 6 ซึ่งเคยมีข่าวว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณเลียบคลองสาม ออกมาประท้วงเจ้าหน้าที่ทำการปิดถนน ว่าได้รับความเดือดร้อน จากการปิดถนนของเจ้าหน้าที่ สำนักข่าวเนชั่น จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องนี้
 
            หากเราเดินทางเข้ามาเส้นคลองสาม เราจะพบมีด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นด่านแรก ซึ่งถือว่ามีความเข้มงวดค่อยข้างมาก หากรถคันใดไม่มีความจำเป็นจะไม่อนุญาติให้ผ่านเด็ดขาด หรือหากเป็นรถผู้ที่อาศัยอยู่ภายในช่วงประตู 5 และประตู 6 ก็ต้องมีการแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ให้กับเจ้าหน้าที่ดู และจดบันทึกไว้ว่าอาศัยอยู่ในนี้ เมื่อผ่านด่านแรกเข้าไปก็จะมีเจ้าที่ตั้งจุด อีกอยู่ประมาณ 4-5 จุด

            ทีมข่าว "คมชัดลึกออนไลน์"ได้มีโอกาสการพูดคุยกับ น้าไพโรจน์ อายุ 54 ปี ซึ่งเปิดร้านขายอาหาร อยู่บริเวณเลียบคลองสาม โดย น้าไพโรจน์ เล่าว่า  จากการปิดถนนของเจ้าหน้าที่ มีผลกะทบมากสำหรับเรื่องการเดินทาง เพราะคนแถวนี้ต้องอ้อมไกลไปถึงคลอง 4 อย่างร้านผมไปซื้อของหรือไปสงของก็ลำบาก ปกติถนนเส้นนี้จะเป็นเส้นทางผ่าน ทำให้จะมีลูกค้าแวะเวียนตลอดทั้งวัน และลูกค้าส่วนหนึ่งก็เป็นคนงานจากในวัดธรรมกายที่ออกมากิน การปิดแบบนี้ก็ทำให้ยอดตกลงเยอะมาก
 
            จากเดิมขายได้วันละ4-5 พันบาท แต่หลังจากปิดการจราจร การล้อมวัดยอดขายเหลือไม่ถึงวันละ พันบาท และก็ยังไม่มีกำหนดว่าจะมีการปิดถนนถึงเมื่อไหร่ จะอยู่ยาวแค่ไหน
 

            จะมีการล้อมวัดหรือปิดวัด เราไม่ได้ว่า เพราะเราไม่เกี่ยวกับอะไร หรือไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับวัดอยู่แล้ว แต่จริงๆอยากจะเสนอให้มีการเปิดการจราจร สัก1 ช่องทาง จะตั้งด่านก็ตั้งไป แต่น่าจะให้รถสัญจรไปมาได้บ้าง ก็ปิดเฉพาะช่วงหน้าประตูก็น่าจะพอแล้ว เพราะมีการปิดการจราจร คนก็ไม่ผ่าน ต้องอ้อมไปเส้นทางอื่น ก็เดือดร้อนกัน เดินทางลำบาก  
 
            จากนั้นเราได้เจอ พี่เกษร อายุ 36 ปี  ซึ่งเธอกำลังจะเก็บขายน้ำ ที่ตั้งอยู่ริมถนน เธอเล่าว่า มีผลกระทบเยอะมาก ตอนแรกฟังข่าว ดีเอสไอ บอกปิด 3 วัน นี่เข้าไปสามสัปดาห์แล้ว ยังปิดอยู่เลย ตนขายของลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนงานและก็คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมา ก็ทำให้ยอดขายตกลงมาก แต่เรื่องยอดขายฉันเข้าใจ แต่ปัญหาใหญ่คือเรื่องการเดินทาง
 
            ฉันต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน โดยปกติคนแถวนี้จะเดินทางโดยรถสองแถว แต่พอปิดถนน รถสองแถวก็วิ่งไมได้ เพราะต้องอ้อมไป ก็ต้องหยุดวิ่ง นี่ก็เพิ่งกลับมาวิ่งได้ 2 วัน แต่ก็วิ่งได้แค่ เช้า -เย็น  ปกติลูกจะเดินทางโดยรถสองแถว แต่พอปิดถนน มีผลกระทบเยอะมาก เราเดือดร้อน เราต้องไปรับ-ส่งลูก ต้องไปทำงาน ปกติใช้เวลาเพียง 15-20 นาที แต่พอปิดถนนใช้เวลาเป็นชั่วโมง เพราะต้องอื้อมไกลมาก รถติด รถเยอะ อาจจะบอกว่าอ้อมไปก็แค่ 2 กิโล แต่ไปกลับนิ 4 กิโลแล้วนะ ปิดเราไม่ได้ว่า แต่อยากให้บางเส้นทางเปิดให้เราหน่อย เช่นเส้นทางไปตลาดไท  จะบอกว่าเส้นทางอื่นอย่างคลอง 4 ที่ต้องอ้อมไปก็เปรี่ยว นักเรียนไปกลับโรงเรียนเองอันตราย
 
            สองแถววิ่งไม่ได้ทำให้เรื่องการเดินทางมีปัญหา ระยะนิดเดียวผ่านไมได้ ต้องอ้อมไปไกล ช่วงแรกปิดถนนสองแถววิ่งไมได้ รถผู้ปกครองไปส่งลูกไม่ได้ เด็กก็ไมได้ไปโรงเรียน ขาดโรงเรียนอีก ช่วงนี้ใกล้สอบด้วย กระทบไปถึงเด็กอีก
 
     “เราไม่รู้หรอกใครจะถูกใครจะผิด เราไม่รู้หรอกว่าคนในวัดหรือนายกฯเดือดร้อนแค่ไหน แต่เราเดือดร้อน  อยากให้ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทางให้หน่อยเท่านั้นเอง" พี่เกษรเล่า

            จากนั้นเราได้เดินทางมาที่โรงเรียนวัดกลางคลองสาม ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 โรงเรียนที่อยู่เลียบคลองสาม ที่ชาวบ้านบอกว่า ได้รับผลกระทบ ทำให้นักเรียนต้องขาดโรงเรียนและเดินทางมาโรงเรียนด้วยความลำบากจนถึงขั้นขาดเรียนจำนวนมากหรือไม่  

            ทำให้เราได้พบกับ ป้าหน่า อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นผู้ปกครองนักเรียนชั้นม.3  ป้าหน่า บอกว่า เรื่องการเดินทางมีปัญหาแน่นอน เพราะจริงๆคนแถวนี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่มีรถส่วนตัว จะใช้รถสองแถว โดยเฉพาะนักเรียนที่เดินทางมาโรงเรียน อย่างลูกชายตนก็เพิ่งขาดโรงเรียน เพราะส่วนหนึ่งเรื่องการเดินทาง มาลำบากต้องอ้อมไกล หลายคนอยู่แค่นี้นั่งสองแถวมาหรือนั่งวินมอไซต์มา แต่นี่พอผ่านไม่ได้ วิ่งไมได้ ก็กระทบไปหมด เดินทางลำบากมาก
        
     ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ จะปิดเทอม เด็กก็ขาดเรียนไมได้ ลำบากแค่ไหนก็ต้องมา อย่างลูกฉัน วันก่อนก็ขอติดรถข้างบ้าน ที่เขามีรถกลับเข้าบ้าน
  
           ปิดเราไม่ได้ว่า แต่ก็น่าจะให้รถพอวิ่งได้บ้างพอแล้ว หรือถ้าจะปิดก็อยากให้มีรถรับส่งก็ได้ เอารถทหารมาจอดรับส่งก็ได้ หรือให้อ้อมไปคลอง 4 ก็น่าจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกบ้าง เจ้าหน้าที่ทำงานเราเข้าใจ แต่เราก็ได้รับผลกระทบมากเหมือนกัน แต่ชเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหาร มาคุย เริ่มผ่อนๆบ้าง บอกว่าจะให้รถโดยสายวิ่ง แต่ก็น่าจะช่วงเช้าและเย็น ตอนที่คนใช้เยอะๆ คนเดียวทำลำบากไปหมด ป้าหน่า กล่าวทิ้งท้าย  
  
           เราจึงไปนั่งพูดคุยกับคุณครู 4-5 คน ว่าที่ผู้ปกครองบอกว่า มีนักเรียนไม่มาโรงเรียนจำนวนมาเป็นอย่างไรได้รับผลกระทบจากการปิดถนนอย่างไร  โดยคุณครูได้สะท้อน ให้เราฟังว่า นักเรียนขาดเรียนเยอะ เรื่องนี้ขอปฎิเสธ ว่า ไม่เยอะ ส่วนใหญ่นักเรียนก็มาเรียนปกติ มีขาดบาง แต่ก็อาจจะเป็นช่วงนี้ที่ใกล้ปิดเทอม และมีการสอบหลายอย่าง ที่นักเรียนจึงจำเป็นต้องมาโรงเรียน แต่หากไม่เป็นช่วงสอบนักเรียนอาจจะขาดเรียนเยอะกว่านี้ก็ได้
 
            การเดินทางมาโรงเรียนไม่ปกติ การเดินทางต้องลำบากมาก ต้องอ้อมไกล นักเรียนบางคนบ้านแค่นี้ แต่ผ่านไม่ได้ต้องอ้อมไปคลอง 4 กว่าจะถึงโรงเรียน และรถเมล์ รถสองแถว ก็ผ่านไม่ได้ ซึ่งปกตินักเรียนจะเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ
 
            เรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่ทหารมาคุยแล้ว เพื่อทำความเข้าใจ แต่จริงๆอยากให้เจ้าหน้าที่มีการพูดคุยทำความใจให้ตรงกันก่อน เพราะเจ้าหน้าที่บางคนให้ผ่าน แต่พอเปลี่ยนเวรอีกคนไม่ให้ผ่าน ทำให้สับสน จริงๆอยากจะขอให้ชัดไปเลย ว่ารถนักเรียน รถครู รถคนที่เข้ามาทำงานในนี้  ก็อนุโลมไม่ต้องไปอ้อม เพราะ ครู นักเรียน ก็ดูออกง่ายๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับวัดอยู่แล้ว นี่ก็ไมเฉพาะ ครู นักเรียน พ่อค้า แม่ค้า ที่จะเข้า ขายของ ทำมาหากิน ก็ลำบาก
  
           เราเข้าใจการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ต้องเห็นใจ เราด้วย หรือไม่ก็เป็นชั่วโมงเร่งด่วน ก็เปิดให้เราหน่อย เพราะปกติ เส้นทางนี้ก็รถเยอะอยู่แล้ว ในช่วงเช้า-เย็น ยิ่งต้องไปอ้อมรถยิ่งเยอะ ยิ่งติด เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกก็ไม่มี ถ้าจัดการเรื่องการเดินทาง จะล้อมเป็นปี ล้อมไปเรื่อยๆก็ไมได้ว่าอะไร กลับดีสะด้วย เพราะโจร ขโมยไม่มี   
 
            จากนั้นเราโชคดี เจอรถสองแถวจอดอยู่พอดี  โดยคนขับ คือ ตาสุรินทร์ ชมชื่น อายุ 63 ปี บอกว่า ปกติจะมีรถสองแถว วิ่งเส้นทางนี้จำนวน 6 คัน แต่ตอนนี้เหลือวิ่ง 3 คันเพราะหยุดไปช่วง 2 สัปดาห์แรกต้องหยุดวิ่งเลย เพราะผ่านไม่ได้ ตอนแรกเรานึกว่าแค่ 3 วันแต่นี่ก็ยาวมาเป็นสิบวันแล้ว ก็เพิ่งได้กลับมาวิ่งเมื่อ2 นี่เอง คนใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนและคนงานเพราะเส้นนี้จะมีโรงเรียนอยู่ 2 โรงเรียน เมื่อสองแถววิ่งไม่ได้ ทำให้นักเรียนและคนงาน ลำบากมีผลกระทบมาก เพราะต้องอ้อมไปคลอง 4 หรือเส้นทางอื่น ซึ่งไม่มีรถสองแถว ไม่มีรถสาธารณะต้องใช้มอเตอไซค์ และเส้นทางค่อยข้างเปรี่ยว  ส่วนตัวไม่เป็นอะไรหยุดวิ่งก็หยุดวิ่งแต่นักเรียนลำบาก  ช่วงหลังเริ่มมีการพูดคุยกัน มีการผ่อนผนนลงมาเยอะ ให้รถสองแถวสามารถวิ่งได้
 
            “ความจริงคนแถวนี้ต้องลำบาก เพราะต้องมาจับคนเดียว ความจริงคนแถวนี้ส่วนใหญ่ก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะจับคนเดียวทำเดือดร้อนกันไปหมด เอาจริงๆถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด กฎหมายบ้านเมืองก็มี ก็เข้าสู่กระบวนการเขาก็พร้อมอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบไปด้วยเลย”
 

     เราได้เจอกลุ่มน้องนักเรียน ที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้เป็นประจำ น้องอิศรา ทองใบ อายุ 17 ปี เล่าว่า ช่วงแรกได้รับผลกระทบ เพราะรถผ่านไม่ได้ รถไม่วิ่ง ต้องนั่งมอไซค์ ขี่มอไซค์อ้อมอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งไกล แต่ตอนนี้รถสองแถวเริ่มวิ่งได้แล้ว โอเคมากขึ้น เช้าก็ต้องใช้ กลับก็ต้องใช้  จริงจริงคนแถวนี้ ไม่น่าจะต้องมาเดือดร้อนกัน หนูไม่เห็นด้วยเลย รู้สึกว่าเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย
 
    เสียงเหล่านี้ก็อาจจะเป็นเสียงสะท้อนเบาๆกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีส่วนได้ มีแต่ส่วนเสีย และได้รับความเดือดร้อน ได้รับผลกระทบจริงๆ จากการปิดล้อมครั้งนี้ เราก็หวังว่า เสียงเบาๆเหล่านี้จะไปถึงหู มีอำนาจให้ช่วยแค่เพียงเปิดทางสักนิด ความเดือดร้อนก็จะถูกคลี่คลาย
 
    ส่วนเรื่องที่ว่าจะจับใคร ล้อมใคร นานแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่และว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ ต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นของตัวเองกันทั้งสิ้น