
เทคนิค“ฟรีไดฟ์วิ่ง”ให้ปลอดภัย ..ดำน้ำท้ามัจจุราช
กฎข้อแรก "ดำน้ำฟรีไดฟ์วิ่ง" คือต้องมีบัดดี้หรือเพื่อนคู่หูไปด้วย ไม่มีใครรู้ข้อมูลอะไรเลยว่านักท่องเที่ยวสาวรัสเซียที่หายตัวไปที่เกาะเต่าไปเช่าเรือที่ไหนอย่างไร
หลังจากนักท่องเที่ยวสาวชาวรัสเซีย “น.ส.วาเลนตินา โนวาชฮาโยโนวา” หายสาบสูญไปจากเกาะเต่านานเกือบ 1 เดือน โดยทิ้งปริศนาไว้กับเพื่อนเพียงว่า “จะไปฟรีไดฟ์วิ่งทำลายสถิติเดิมให้ลึกมากกว่า 22.3 เมตร” ...
“เกาะเต่า” เสมือนแดนสวรรค์ของนักดำน้ำ เนื่องจากมีเกาะแก่ง โขดหิน และโลกใต้ท้องทะเลงดงามไปด้วยปะการัง สัตว์น้ำท้องถิ่นอันดามันหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมดำน้ำ 2 แบบด้วยกันคือ
“ดำน้ำตื้น” หรือ สน็อกเกลลิ่ง (SNORKELING) เป็นการดำช่วงผิวน้ำโดยใช้หน้ากากมีท่อยื่นขึ้นมาเหนือผิวน้ำและตีนกบ จุดประสงค์เพื่อแหวกว่ายดูปลาและดอกไม้ทะเลในน้ำที่ไม่ลึกมาก นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถสน็อกเกลลิ่งโดยไม่ต้องเรียนหรือฝึกหัดมาก่อน ขอเพียงว่ายน้ำเป็นบ้างก็พอ แต่ถ้าว่ายไม่เป็นก็ใส่เสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย
ส่วนผู้ที่พิสมัยโลกใต้ท้องทะเลลึก จะเลือกวิธี “ดำน้ำลึก” หรือ สคูบ้า (SCUBA) แต่ต้องผ่านคอร์สเรียนเป็นเรื่องเป็นราว มีใบประกาศหรือเซอร์ติฟิเคตจากสถาบันดำน้ำระดับนานาชาติเสียก่อน ส่วนใหญ่โรงเรียนดำน้ำจะสังกัดหลักสูตรดำน้ำของสถาบันนานาชาติที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ที่รู้จักกันดีในประเทศไทยคือ PADI (Professional Association of Diving Instructor) NAUI (National Association of Underwater Instructor) หรือ SSI (Scuba School International)
การดำน้ำแบบสคูบ้า เริ่มจากการไปฝึกกับ “ครูสอนดำน้ำ” (SCUBA Diving Instructor) เพื่อเรียนรู้อุปกรณ์ดำน้ำต่างๆ ว่ามีความสำคัญและมีวิธีการใช้งานอย่างไร เช่น หน้ากาก ท่อหายใจ ตีนกบ ถังอากาศ รวมถึง เรกูเลเตอร์หรือเครื่องช่วยหายใจใต้น้ำ วิธีการดูเกจ์วัดอากาศ ความลึก ฯลฯ ราคาค่าเรียนหลักสูตรพื้นฐานประมาณ 7000–10,000 บาท เรียนประมาณ 1 อาทิตย์ เรียนจบก็ไปสอบดำน้ำกับครูฝึก ทั้งสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติใต้น้ำจริง
หากใครสอบผ่านก็ได้ “บัตรดำน้ำ” เป็นลักษณะการ์ดแข็ง มีรูปเจ้าตัวติดหน้าบัตร พร้อมด้วยเลขสมาชิก จากนี้ไปเมื่อไปดำน้ำที่ไหนต้องโชว์บัตรนี้ เป็นการยืนยันว่าผ่านคอร์สเรียนดำน้ำเบื้องต้นมาแล้ว มิเช่นนั้นไกด์ทัวร์สคูบ้าจะไม่ยอมให้เข้าร่วมทริป และทุกครั้งจะมี “ไดฟ์มาสเตอร์” ที่ชำนาญพื้นที่เป็นผู้นำในการพาดำน้ำ
นอกจาก การดำน้ำ 2 แบบมาตรฐานข้างต้นแล้ว ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เริ่มมีกลุ่มนิยมการดำน้ำรูปแบบใหม่ และเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นั่นคือ “ฟรีไดฟ์วิ่ง”
“ฟรีไดฟ์วิ่ง” (Freediving) หมายถึง การดำน้ำแบบตัวเปล่า ไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระ ตั้งสมาธิอยู่กับตัวเองและธรรมชาติใต้ท้องทะเล มีสถิติบันทึกไว้ว่ามนุษย์สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 100–300 เมตร โดยสถิติปี 2016 Giorgos Panagiotakis ชาวฟินแลนด์ดำลึกถึง 300 เมตร ส่วนผู้หญิงที่ดำได้ลึกที่สุดคือ Natalia Molchanova ชาวอิตาลี ดำได้ลึกประมาณ 237 เมตร
หากย้อนดูประวัติศาสตร์มีการดำน้ำแบบฟรีไดฟ์วิ่งตั้งแต่ยุคกรีก สมัยก่อนมนุษย์ดำน้ำเพื่อเก็บไข่มุกใต้ท้องทะเลมาขาย แต่ปัจจุบันนักฟรีไดฟ์วิ่งส่วนใหญ่เป็นพวกหลงใหลในกีฬาท้าทายความสามารถ เชื่อมั่นว่ามนุษย์สามารถทำลายขีดจำกัดของตัวเองได้ ยิ่งใครดำลงไปใต้น้ำได้ลึกสุด นานสุด ถือว่าเป็นผู้ชนะ มีสถิติบันทึกนักกีฬาบางคนอยู่ได้นานกว่าสิบนาที ถือเป็นกีฬาอันตรายและมีผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยระหว่างกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำลึก
ฟรีไดฟ์วิ่งแบ่งเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมที่ใช้ เช่น หน้ากาก ตีนกบ หรือตะกั่วถ่วงน้ำหนัก หรือบางประเภทอนุญาตให้ใช้เชือกช่วยตอนดำน้ำดิ่งลงใต้ท้องทะเลได้ และทุกคนต้องท่องจำเป็นอันดับแรกเลย เพื่อให้การดำน้ำไม่ท้าทายความตายหรือไม่ให้มัจจุราชมาฉกตัวไป คือ “ห้ามดำน้ำคนเดียว” โดยเด็ดขาด ต้องมีบัดดี้อยู่ด้านบนเรือหรือบนผิวน้ำเพื่อคอยส่องมอง เผื่อคนที่กำลังฟรีไดฟ์วิ่งมีอาการผิดปกติหรือต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะจากการหมดสติเพราะกลั้นหายใจนานเกินกว่าร่างกายจะรับได้
หลายคนหมดสติเพราะความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต(Shallow Water Blackout) นอกจากนี้ ยังต้องฝึกการหายใจแบบเฉพาะ เพื่อสงวนอากาศไว้ในตัวให้นานที่สุด แถมต้องฝึกวิธีทำสมาธิใต้น้ำลึก ยิ่งอยากดำดิ่งลึกเท่าไร ยิ่งต้องรู้วิธีเคลื่อนไหวลำตัวแบบปล่อยวาง อิสระแบบไม่ใช้พลังงาน นักกีฬาฟรีไดฟ์วิ่งที่เก่งๆ ดำลึกไปได้มากกว่า 100 เมตร พวกเขาจะนิ่งมาก อัตราการเต้นหัวใจเปลี่ยนไปจากคนปกติ 60 ครั้งต่อนาที อาจเหลือเพียง 20-30 ครั้งต่อนาที
ทั้งนี้ แหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักฟรีไดฟ์วิ่งของไทยมีหลายแห่ง เช่น เกาะลันตา เกาะเต่า เกาะภูเก็ต โดยมีโรงเรียนสอนดำน้ำเป็นผู้จัดหาสถานที่และอำนวยความสะดวกให้ ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นฝรั่ง
กรณีของ “น.ส.วาเลนตินา” ที่หายสาบสูญไปนั้น ตำรวจยังไม่พบเบาะแสใด รู้เพียงว่าข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ครบ ยกเว้น “นาฬิกาดำน้ำ” แม้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนเกาะเต่าทั้งหมด แต่ไม่พบเบาะแสว่ามีใครถูกทำร้ายร่างกาย หรือเป็นคดีฆาตกรรม
ทีมข่าว “คม ชัด ลึก” สอบถามไปยังโรงเรียน “แอพเนีย โทเทิล” หนึ่งในโรงเรียนสอนฟรีไดฟ์วิ่งชื่อดังบนเกาะเต่า เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพียงว่าหลังจากเกิดกระแสข่าวว่า น.ส.วาเลนตินาหายตัวไปหลังจากเดินทางไปดำน้ำลึกเมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มผู้ฝึกสอนฟรีไดฟ์วิ่งก็ได้ติดต่อเครือข่ายที่รู้จักกันในเกาะเต่า เพื่อแลกเปลี่ยนเบาะแสและข้อมูล ปรากฏว่าทั้งโรงเรียนสอนฟรีไดฟ์วิ่งและเครือข่ายจัดทัวร์ดำน้ำในเกาะเต่าไม่มีใครรู้เรื่องของแหม่มชาวรัสเซียที่หายไป แสดงว่า น.ส.วาเลนตินาไม่ได้ติดต่อกับผู้ใดและไม่ได้เช่าเรือในเครือข่ายไปด้วย ทำให้ไม่แน่ใจว่าไปดำน้ำจริงหรือไม่
“กฎข้อแรกที่สำคัญของการดำน้ำฟรีไดฟ์วิ่ง คือต้องมีบัดดี้หรือเพื่อนคู่หูไปด้วย เพื่อช่วยดูแลกันและกัน ถึงจะเป็นนักดำน้ำที่เก่งและมีใบรับรองแล้ว แต่ไม่มีใครออกไปดำน้ำฟรีไดฟ์วิ่งคนเดียวอย่างเด็ดขาด ตอนนี้ไม่มีใครรู้ข้อมูลอะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าเช่าเรือที่ไหนอย่างไร พวกเราก็สงสัยเหมือนกัน” เจ้าหน้าที่แอพเนียโทเทิลกล่าว
มีการตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญด้านดำน้ำว่า หากนักดำน้ำเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แล้วเป็นการดำน้ำแบบสคูบ้าที่มีอุปกรณ์รวมถึงถังอากาศหนักสิบกว่าโลนั้น มีหลายคดีที่ศพจมหายไปในท้องทะเลไม่ลอยโผล่ขึ้นมา แต่กรณีฟรีไดฟ์วิ่งที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรมากนัก นอกจากก้อนตะกั่วถ่วงน้ำหนักช่วงดำน้ำลงไปนั้น หากเสียชีวิตจริงน่าจะมีรายงานการพบศพแล้ว จากชายฝั่งหรือเรือประมงที่แล่นอยู่เต็มท้องทะเล
การค้นหา “น.ส.วาเลนตินา” คงต้องดำเนินต่อไป ด้วยเบาะแสเดียวที่มีอยู่ คือคำพูดว่า “จะไปฟรีไดฟ์วิ่งทำลายสถิติเดิมให้ลึกมากกว่า 22.3 เมตร” พร้อมปริศนาว่า “ใครเป็นบัดดี้ ?”
ทีมข่าวรายงานพิเศษ