
ฟังเสียงสะท้อน"ชาวบ้าน" จุดเปลี่ยนวิถี"คลองลาดพร้าว"
เมื่อ กทม. ตัดสินใจทำเขื่อนคลองลาดพร้าว ซึ่งกระทบพื้นที่ชุมชน ล่าสุดีการทุบบางส่วนของวัดลาดพร้าวที่รุกล้ำลำคลอง ลองมาฟังเสียงชาวบ้านดูบ้าง
"วัดลาดพร้าวเป็นศูนย์รวมจิตใจ ทำแบบนี้ก็รู้สึกใจหาย"
ตุบ ! ตุบ ! ตุบ ! เสียงทุบปูนดังหนักแน่นเป็นระยะ จากแรงอัดเครื่องจักรขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงการเร่งมือของช่างในการทุบศาลาริมน้ำของวัดลาดพร้าว ให้ราบเรียบจบสิ้น เพื่อเปิดพื้นรองรับโครงการใหญ่ที่จะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างแรงเสียดทานต่อคนในพื้นที่ชุมชนริมคลองลาดพร้าว เมื่อกรุงเทพมหานคร(กทม.) กำลังเดินหน้าก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก(ค.ส.ล.) คลองลาดพร้าว ตลอดแนวความยาว 45.30 กิโลเมตร ทำให้จากนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตชุมชนชาวริมคลองลาดพร้าวจากเดิมจะเปลี่ยนไป
เป็นการเปลี่ยนไปบน"แรงเสียดทาน" ที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการเดินหน้า เพราะท่าทีของกทม. และชาวบ้านบางส่วนยัง "เดินสวนทาง" กันสิ้นเชิง จากกรณีสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำโดยนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมฯ พร้อมพระสงฆ์ 24 รูป ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนรอบวัดลาดพร้าว 72 คน ยื่นฟ้องผู้อำนวยเขตลาดพร้าว ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ ผู้ว่าฯกทม. และเจ้าอาวาสวัดลาดพร้าว เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ร้องไปถึงศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ กรณีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกทม.และบริษัท ริเวอร์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด นำเครื่องจักรเข้ารื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้าง ศาลาที่พัก เฟอร์นิเจอร์และตัดโค่นต้นไม้ภายในบริเวณวัดลาดพร้าว ซึ่งเป็นศาสนาสมบัติของวัดตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธุ์ 2560 จนถึงวันที่ยื่นฟ้อง
ยังเป็นแรงปะทุที่เกิดขึ้นบน"ความเห็นต่าง" ของประชาชน โดยมีกทม.เป็นจำเลยขับเคลื่อนเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมากทม. ได้เดินคู่ขนานการก่อสร้างและเปิดเวทีรับฟังเสียงประชาชน เพื่ออธิบายว่าที่มาที่ไปโครงการนี้ เกิดจาก"บทเรียน" จากเหตุการณ์"มหาอุทกภัย" ในปี 2554 ทำให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในครั้งนั้น มีมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2555 เห็นชอบข้อเสนอการบริหารจัดการสิ่งรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกทม. ใช้กฎหมายกับผู้ที่บุกรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาจัดหาที่พักอาศัยถาวรให้กับผู้บุกรุก
ในระยะ"เร่งด่วน" ได้กำหนดคลองสำคัญที่มีปัญหาถูกรุกล้ำ จำนวน 9 คลอง ประกอบด้วย 1.คลองบางซื่อ 2.คลองบางเขน 3.คลองลาดพร้าวและคลองสอง 4.คลองเปรมประชากร 5.คลองพระยาราชมนตรี 6.คลองสามวา 7.คลองลาดบัวขาว 8.คลองประเวศบุรีรมย์ และ9.คลองพระโขนง โดยคลองลาดพร้าวและคลองสอง ถูกยกให้เป็นโครงการ"นำร่อง" เข้ารื้อสิ่งก่อสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาธารณะเป็นอันดับแรก
ในแผนจะมีการสร้างเขื่อนและราวเหล็กกันตก ตลอดแนวโครงการนี้ ระยะทางกว่า 45.30 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 8 เขต ประกอบด้วย เขตดอนเมือง สายไหม หลักสี่ บางเขน จตุจักร ลาดพร้าว ห้วยขวาง และวังทองหลาง โดยกทม.เชื่อว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะแก้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯไปถึงปริมณฑล ใช้เวลาก่อสร้าง 1,260 วัน เริ่มต้นสัญญา 15 มกราคม 2559 สิ้นสุดสัญญา 27 มิถุนายน 2562
จากข้อมูลล่าสุด 1 มีนาคม 2560 กทม.ตอกเสาเข็มไปแล้ว 7,500 ต้น จากเป้าหมายในปี 2560 ทั้งหมด 60,000 ต้น ที่ผ่านมายังมีเสียงเรียกร้องจาก"คนริมคลอง" ที่ยังไม่ได้ย้ายออกจากพื้นที่ เพราะบางส่วนยังไม่มีที่อยู่อาศัยใหม่ ต้องรอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เร่งจัดหาพื้นที่รองรับ เพื่อเปิดทางให้กทม.เดินหน้าแผนก่อสร้างให้เร็วที่สุด
ที่ผ่านมาแนวก่อสร้างส่วนที่มีชุมชนรุกล้ำแนวเขตคลอง มีจำนวน 50 ชุมชน ความยาวประมาณ 32 กิโลเมตร พอช.ได้รื้อย้ายได้บางส่วนและส่งมอบให้สำนักการระบายน้ำแล้ว อาทิ ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ความยาว 240 เมตร ดำเนินการได้ 208 เมตร ชุมชนสะพานไม้ 2 ความ 920 เมตร ส่งมอบให้กทม. 150 เมตร ทำได้ 105 เมตร ชุมชนหลังสมาคมโรงเรียนไทยญี่ปุ่น ความยาว 467 เมตร ส่งมอบให้ 110 เมตร ทำได้ 45 เมตร ชุมชนวังหิน ความยาว 70 เมตร ดำเนินการได้ 58 เมตร รวมเสาเข็มที่ดำเนินการได้ทั้ง 4 ชุมชน 479 ต้น ความยาวประมาณ 416 เมตร
เมื่อสำรวจพื้นที่เเนวคลองลาดพร้าว พบสิ่งปลูกสร้าง 2 ลักษณะ 1.บ้านเรือนประชาชนที่รุกล้ำ และ2.บริเวณพื้นที่ว่าง มีกำแพง หรือมีบ้านเรือนขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจอนาคตที่จะเปลี่ยนไปจากนี้ โดยนางจิรานุช ศศิสกุลพร อายุ 65 ปี ชาวบ้านชุมชนหลังตลาดสุภาพงษ์ บ้านตรงข้ามวัดลาดพร้าว เห็นว่า เท่าที่ทราบมาตอนแรกจะมีการขยายคลองไป 38 เมตร ซึ่งสำนักงานเขตจตุจักรและสำนักการระบายน้ำ เคยแจ้งรายละเอียดโครงการมาแล้ว แต่ชุมชนหลังตลาดสุภาพงษ์มีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยกับโครงการ แต่ตัวเองอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดมาปีนี้ 65 ปี บ้านตรงนี้ก็จะถูกย้ายไปด้วย ทำให้ตัวเองต้องย้ายไปอยู่บ้านอีกหลัง ซึ่งมีการพูดว่าชาวบ้านจะได้เงินค่าเช่าบ้านไปก่อน 6 เดือนๆ ละ 3 พันบาท จากทั้งหมดที่ทหารบอกว่าทุกครัวเรือนจะได้หลังละ 9 หมื่นบาท เงินที่เหลืออีกประมาณ 7 หมื่นก็ไม่รู้ว่าจะได้จากค่าอะไรอีก ซึ่งหน่วยงานรัฐบอกว่าจะสร้างบ้านราคา 3 แสนกว่าบาท เพื่อรองรับคนในชุมชน แต่เท่าทราบคนในชุมชนที่ไม่เห็นด้วยจะเยอะกว่าคนเห็นด้วย แต่ตัวเองถึงจะไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมเห็นด้วย เพราะเราไปรุกล้ำที่เขาโดยผิดกฎหมาย เราก็ต้องไปอยู่ให้ถูกกฎหมาย
"จะบอกว่ายินยอมก็คงยินยอม เพราะน้ำท่วมที่บ้านจนเบื่อแล้ว แต่เราเข้าใจเพราะบางคนที่เห็นต่างกัน เขาไม่มีบ้านสำรอง บางคนต่อเติมบ้านจนแข็งแรงก็ไม่อยากย้ายไปที่อื่น"นางจิรานุช ระบุ
ด้านนางวัฒนา เหรียญมงคล หรือ ป้าเปี๊ยก อายุ 62 ปี มองว่า มีคนมาบอกป้าว่าจะทำเขื่อน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขยายคลองกว้างขึ้น แต่บางคนบอกว่าถ้าสร้างแนวเขื่อนเสร็จก็จะได้อยู่ที่เดิม ทำให้ตัวเองยังงงๆอยู่ว่า แนวคลองจะกว้างเท่าใด อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดแล้ว อยู่ตั้งแต่พื้นที่ตรงนี้เป็นดิน จนน้ำเซาะริมคลองทำให้ตลิ่งกว้างกว่าเดิม แต่ถ้าทำบ้านให้เราอยู่ แล้วเก็บเงินแพงๆ ก็วิตกว่าจะผ่อนไม่ค่อยไหว ส่วนตัวโครงการจะเกิดขึ้นยังพอรับได้ แต่ขอให้บ้านใหม่ตัวเองผ่อนไหวด้วย เพราะตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอีกมากมาก ส่วนตัวจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับโครงการนี้ ทุกๆวันก็เครียด นอนไม่ค่อยหลับ เพื่อนบ้านคนอื่นก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน คนที่มีเงินมีบ้าน เขาก็พร้อมที่จะไป แต่เราไม่พร้อมเลย
"รุกล้ำที่ก็ยอมรับ แต่คนที่นี่อยู่มาก่อนที่หน่วยงานจะเกิดขึ้นเสียอีก ได้ทะเบียนบ้านมา พอจะมาไล่โดยบอกว่าเรารุกที่ก็คงไม่ใช่ แต่ขอให้หน่วยงานช่วยเหลือกันมากกว่านี้ ขอให้คุยกัน อย่างเรื่องรื้อศาลาริมน้ำของวัด หลายคนก็ใจเสีย ก็น้อยใจ เพราะเห็นศาลามาตั้งแต่เกิด ทำไมหน่วยงานจะทำอะไรไม่ยอมมาบอกชาวบ้านบ้าง วัดลาดพร้าวเป็นศูนย์รวมจิตใจ ทำแบบนี้ก็รู้สึกใจหาย รู้สึกโกรธทำไมมาทำกับวัดแบบนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาก็คงไม่พอใจ"ป้าเปี๊ยกระบุ
ขณะที่นางอุไร มาแก้ว อายุ 77 ปี หรือป้าไร ผู้อาวุโสในชุมชน เห็นว่า ไม่ขัดข้องถ้าจะคืนพื้นที่ก็เอาไป แต่เรายังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ อยู่ตรงนี้มากว่า 20 ปีจะขอโอกาสด้วย เพราะเรื่องที่อยู่ใหม่หน่วยงานก็ไม่บอกอะไร แค่ได้ยินมาว่าจะหาที่อยู่ชั่วคราวและสร้างบ้านใหม่ให้ ตอนนี้ก็ไม่ได้เครียดอะไร แต่ขอความชัดเจนเรื่องที่อยู่ใหม่ว่าจะต้องย้ายเมื่อไหร่ เพราะกลัวว่าถ้าออกไปแล้ว จะมีคนมาอยู่แทน ตอนนี้ก็ไม่กล้าซ่อมบ้าน ถ้าซ่อมบ้านแต่ถูกรื้อก็ไม่คุ้มกัน แต่ถ้าที่สุดจำเป็นต้องย้าย ก็คงต้องย้ายออกไป จะไปขัดเขาอย่างไร ก็ขัดแย้งกันไม่รู้จบ ส่วนเรื่องขยายคลองไปฝั่งวัดลาดพร้าวนั้น ที่จริงไม่ควรจะขยายไปฝั่งวัด เพราะวัดก็มีพื้นที่แคบอยู่แล้ว ชุมชนยอมให้ขยายมาฝั่งนี้ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่เห็นด้วยที่ศาลาริมน้ำของวัดถูกทุบ และต้นไม้ต้องถูกรื้อ เพราะเป็นของเก่าแก่
มาที่เสียงของนางสาวเพลินพิศ สุรสิทธิ์ ประธานชุมชนหลังตลาดสุภาพงษ์ อธิบายว่า ได้แจ้งรายละเอียดโครงการให้ชาวชุนชนทราบมากว่า 3 ปีแล้ว ตอนนี้มีความคืบหน้าที่ชุมชนจะได้อยู่ที่ดินเดิม ในลักษณะเช่าที่ดินประมาณ 30 ปี เนื่องจากที่ตรงนี้เป็นของกรมธนารักษ์ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต้องการพื้นที่ทั้งหมดเพื่อใช้ก่อสร้างโครงการ 38 เมตร แต่ชุมชนได้พูดคุยขอให้ลดพื้นที่เหลือ 12 เมตร เพื่อให้ชาวบ้านได้อยู่พื้นที่เดิมได้ต่อไป แต่โครงการนี้บ้านทุกหลังต้องถูกรื้อหมดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ดินส่วนไหน ก็ต้องรื้อเพื่อปรับพื้นที่ในการสร้างแบบบ้านที่เหมือนกันทั้งหมด หากบ้านหลังไหนไม่ยอมรื้อ แล้วชาวบ้านอีกส่วนจะอยู่พื้นที่ตรงไหน ส่วนเรื่องเงินชดเชย หน่วยงานจะให้เงินชาวบ้านเดือนละ 3 พันบาทจำนวน 6 เดือน เพื่อนำไปเช่าบ้านอยู่ และจะมีงบให้อีกประมาณ 5 หมื่นบาทต่อหลัง เพื่อนำไปสมทบบ้านที่จะต้องผ่อนหลังใหม่ในราคา 3 แสนกว่าบาท โดยจะมีหน่วยงานมาช่วยเรื่องบ้านเพิ่มเติมอีก แต่ขณะนี้รอการสรุป ซึ่งในชุมชนมีทั้งหมด 72 ครัวเรือน ตอนนี้มีผู้แจ้งความประสงค์ยินยอมเข้ามาแล้ว 48-50 หลังคาเรือน
"ระหว่างรื้อบ้าน ชาวบ้านจะต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อนในการหาบ้านเช่าเอง เรื่องการขนย้ายสิ่งของในบ้านจะมีสำนักงานเขต และทหารมาช่วย ส่วนเรื่องผู้ที่มีรายได้น้อยกังวลว่าจะผ่อนบ้านไม่ไหว อยากบอกว่าเราได้แบ่งประเภทที่อยู่ตามสัดส่วนของรายได้แต่ละครัวเรือน ใครมีรายได้ไม่มากก็อยู่ห้องพักในตึกสูง 3 ชั้น ใครมีรายได้ขึ้นมาหน่อย ก็อยู่เป็นบ้านที่จัดไว้ให้ ทั้งหมดได้รองรับเพื่อให้ทุกคนมีที่อยู่ จากนี้จะเป็นหน้าที่ของสำนักงานเขตไปแจ้งกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ให้มาติดต่อกับประธานชุมชนภายใน 1 เดือน หากยังไม่มาเกรงว่าหน่วยงานรัฐจะใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อเข้าดูแลเรื่องนี้"ประธานชุมชนหลังตลาดสุภาพงษ์ กลาง
สำหรับ "ศรีสุวรรณ จรรยา" ผู้ฟ้องคดี เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ยื่นเอกสารคำร้องเข้าไปเพิ่มเติม โดยในวันที่(8มี.ค.) ก็ยื่นคำร้องไปเพิ่มเติมอีกเช่นกัน ส่วนกรณีที่กทม.เข้ารื่อถอนศาลาริมน้ำนั้น เข้าใจว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารองผู้ว่าฯกทม. ได้ไปขออนุญาตเจ้าอาวาสเพื่อเข้าดำเนินการในพื้นที่
"แต่หากศาลตัดสินออกมาว่าฝ่ายผู้ร้องชนะ กทม.ก็ต้องสร้างศาลาใหม่ให้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้จะขอรอคำตัดสินของศาลปกครองว่าจะออกมาอย่างไร"
ทั้งหมดจึงเป็นความเป็นมาและเสียงสะท้อนชาวชุมชน ที่หน่วยงานภาครัฐต้องตั้งใจ"รับฟัง" เพื่อลดผลกระทบต่อวิถีชีวิต และดึงการมีส่วนร่วมภาคประชาชนให้มากที่สุดนั่นเอง
---------
ธนัชพงศ์ คงสาย