
วงล้อซ้ำรอย ? จาก‘ยันตระ...ถึง’ธัมมชโย'
พระธัมมชโย ที่ถูกถอดสมณศักดิ์เพราะต้องคดีความ จะถูกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 'สึกกลางอากาศ' เหมือนกับ'พระยันตระ' ในอดีตหรือไม่
ถดถอยลงเรื่อยๆ.... สำหรับ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อได้มีประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่าด้วยการถอดถอนสมณศักดิ์ของพระธัมมชโย ออกจากชั้นพระเทพญาณมหามุนี โดยระบุว่า เนื่องจากพระเทพญาณมหามุนี ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร ตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2559 และยังถูกกล่าวหาในคดีอาญาฐานอื่นอีกหลายฐานความผิด ซึ่งอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องในบางคดีแล้ว แต่พระเทพญาณมหามุนี ไม่ยอมมอบตัวและได้หลบหนีคดี จึงไม่สมควรดํารงอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป และได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ถอดถอน พระเทพญาณมหามุนี ออกจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม เป็นต้นไป
และก้าวย่างต่อไปที่หลายคนจับตามอง ก็คือ จุดจบของพระธัมมชโย จะลงเอยอย่างไร ซึ่งนอกจาก“คดีทางโลก”ที่ต้องลุ้นกันว่า จะถูกจับตัวมาดำเนินคดีได้หรือไม่แล้ว ก็ยังมีคดีทางพระธรรมวินัย
ซึ่งขณะนี้ได้มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรากรปกป้องพิทักษ์กิจการพระศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ออกมาชี้ช่องว่า เมื่อ พระธัมมชโย ถูกถอดถอนออกจากสมณศักดิ์ มหาเถรสมาคม ก็ควรดำเนินการต่อ โดยเร่งนำ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ 3 ซึ่งระบุว่า ในกรณีพระภิกษุรูปใด ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คณะปกครองสงฆ์มีอำนาจวินิจฉัยให้สละสมณเพศได้ มาดำเนินการสั่งให้พระธัมมชโย พ้นจากสมณเพศได้ในทันทีหรือที่เรียกว่า “สึกกลางอากาศ” ซึ่งมหาเถรสมาคมสามารถทำได้เลย โดยไม่ต้องได้ตัวพระธัมมชโย
และมาตรการนี้เคยใช้กับ ‘อดีตพระยันตระ’มาแล้ว
ดังนั้นจึงลองมามองย้อนถึงกรณีอดีตพระยันตระกัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 23ปี ที่แล้ว คือ ใน พ.ศ. 2537 ชื่อของ“พระยันตระ อมโรภิกขุ”หรือ “พระวินัย อมโร” ซึ่งขณะนั้นในวัย 40 ปี เป็นข่าวโด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์นานหลายเดือน หลังจากมีสีกากลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังกรมการศาสนาว่า“ยันตระ”หรือ“นายวินัย ละอองสุวรรณ” ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ เพราะได้ไปล่อลวงสีกาชื่อ “จันทิมา มายะรังษี” ไปเสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดบุตรสาวออกมา ตั้งชื่อว่า“เด็กหญิงกระต่าย”
การออกมาเปิดโปงเรื่องนี้กลายเป็นข่าวช็อกของวงการพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องยอมรับว่า ในสมัยนั้น“พระยันตระ” ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากพุทธศาสนิกชนมหาศาล ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักพรตฤาษี กระทั่งอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายในปี พ.ศ. 2517 ณ วัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ด้วยความที่เป็นพระรูปงาม มีลีลาการเทศนาที่ไพเราะจับใจ ทำให้ “ยันตระ”เป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนั้น ทุกครั้งที่ไปเทศนาธรรมในแห่งหนตำบลใด หรือแม้แต่ในต่างประเทศ จะมีพุทธศาสนิกชนเข้ามาฟังจนแน่นขนัด แม้กระทั่งข้าราชการระดับสูง ตลอดจนข้าราชการการเมืองก็เคารพศรัทธา‘พระยันตระ’ในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่แล้ว...เมื่อ“พระยันตระ” เจอข้อกล่าวหาที่รุนแรงผิดพระธรรมวินัยจนถึงขั้นปาราชิกเช่นนี้ แน่นอนว่า“พระยันตระ”ต้องปฏิเสธ ทำให้สื่อมวลชนพยายามขุดคุ้ยหลักฐานเพื่อเปิดโปง ขณะที่“จันทิมา” ก็ได้ฟ้องร้องพระยันตระ พร้อมกับขอท้าพิสูจน์ความจริงด้วยการตรวจดีเอ็นเอกับ “เด็กหญิงกระต่าย” แต่พระยันตระ กลับปฏิเสธที่จะเจาะเลือดตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ
เวลาผ่านไปเรื่องราวของพระยันตระก็ยิ่งถูกเปิดโปงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ มีพยานหลักฐานชี้ชัดว่านอกจาก“จันทิมา”แล้ว พระยันตระยังพัวพันกับสีกาคนอื่น ๆ ทั้งคนไทย และคนต่างชาติ ในช่วงเวลาที่ไปแสดงธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่าพระยันตระเคยเข้าไปใช้สถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวด และเปิดโรงแรมกับหญิงสาวในต่างประเทศด้วย
เมื่อข้อมูลหลักฐานออกมาเช่นนี้ ในที่สุด มหาเถรสมาคมก็ได้พิจารณาปรับให้พระยันตระพ้นจากความเป็นสงฆ์ เนื่องจากถูกตั้งอธิกรณ์ผิดวินัยร้ายแรงด้วยการล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติถึงขั้นปาราชิก แต่...‘ยันตระ’ไม่ยอมรับมติสงฆ์ จึงปฏิญาณตนเองว่ายังเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ แล้วเปลี่ยนไปนุ่งจีวรสีเขียวแทน อันเป็นที่มาที่ทำให้สื่อมวลชนตั้งสมญาให้ว่า“จิ้งเขียว” “สมียันดะ”, “ยันดะ”เป็นต้น และถูกทางการดำเนินคดีข้อหาแต่งกายลอกเลียนสงฆ์
กระทั่งวันหนึ่ง อดีตพระยันตระ ได้ไปพูดวิจารณ์ก้าวล่วงหมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดต้องถูกดำเนินคดี ทำให้อดีตพระยันตระพร้อมบริวารส่วนหนึ่งปลอมหนังสือเดินทางหลบหนีไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ภายหลัง ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง จึงสามารถพักอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ และได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และอาศัยอยู่ในสำนักสุญญตาราม เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ
หลังสุดมีข่าวว่า“ยันตระ”กลับมาประเทศไทยแบบสบาย ๆ แถมยังมีลูกศิษย์ลูกหาคอยต้อนรับมากมาย อีกทั้งยังไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ เนื่องจากคดีความทุกอย่างหมดอายุไปแล้ว
จะเห็นได้ว่า ทั้ง ‘พระธัมมชโย’ และ ‘ ยันตระ ’ มีความเหมือนกัน คือ เป็นพระรูปงาม มีลีลาการเทศนาที่ดึงดูดใจคน และมีลูกศิษย์นับถือมากมายทุกระดับ รวมไปถึงข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจและนักการเมืองซึ่งเป็น‘แบ็คอัพ’ ได้เป็นอย่างดี
แต่ต่างกันก็ตรงที่เนืื้อหาในประเด็นที่ “ยันตระ” มีเรื่องพัวพันกับสีกา ล่วงละเมิดเมถุนธรรม ทำให้อาบัติ ถึงขั้นปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสงฆ์ ส่วนพระธัมมชโย ไม่มีเรื่องสีกาเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องการต้องคดีความอาญา
‘กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 นี้ ออกมาเพื่อจัดการกับพระที่มีอิทธิพล ไม่สามารถจัดการด้วยกฎหมายปกติได้ ก็เหมือนกับการใช้มาตรา 44 ซึ่งหลังจากออกกฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้มาไม่กี่วัน มหาเถรสมาคมก็มีมติให้พระยันตระ พ้นจากสมณเพศ จากนั้นยังไม่ได้นำกฎนี้มาใช้กับพระรูปใดอีก ดังนั้นหากจะนำมาใช้กับพระธัมมชโย ก็เท่ากับเป็นพระรูปที่สองที่ถูกให้สึกด้วยกฎนี้ ’ ไพบูลย์ ระบุ
เมื่อในอดีต “ยันตระ” ซึ่งเป็นพระสงฆ์ใน ‘ธรรมยุติกนิกาย’ ต้องถูก‘สึกกลางอากาศ" มาคราวนี้ พระสงฆ์ใน‘มหานิกาย’ อย่าง ‘พระธัมมชโย’ หากต้องโดนเข้าบ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
*****
ข้อมูลประกอบเรื่อง
กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี และมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มหาเถระสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อไปนี้
๑. กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ”
๒. กฎมหาเถรสมาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป
๓. ในกรณีพระภิกษุรูปใด
(๓.๑) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ให้เจ้าอาวาสซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัยมีอำนาจหน้าที่ แนะนำ ชี้แจง ตักเตือน ให้พระภิกษุรูปนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกำหนดเวลาให้ปฏิบัติ หากพระภิกษุรูปนั้นไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ชี้แจง ตักเตือน ภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัย รายงานโดยลำดับจนถึงเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัด เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศต่อไป
(๓.๒) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองวัดหรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้น มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
๔. ในกรณีที่มีการฟ้องว่าพระภิกษุรูปใดกระทำความผิดอันเป็นครุกาบัติ เมื่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแล้วมีคำสั่งประทับฟ้องเพื่อดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยต่อไปก็ดี คณะผู้พิจารณาชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ไม่ว่าจะลงนิคหกรรมหรือไม่ก็ตาม และเรื่องยังอยู่ภายในกำหนดเวลาอุทธรณ์ก็ดี หรือมีการอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาแล้วไม่ว่าคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์จะมีคำสั่งหรือวินิจฉัยอย่างไรก็ดี ให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นหรือคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี รายงานข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพระธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องต่อมหาเถรสมาคม
ในกรณีที่การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมอยู่ในชั้นฎีกา กรรมการมหาเถรสมาคมรูปใดรูปหนึ่ง อาจรายงานต่อมหาเถรสมาคมเพื่อให้ดำเนินการตามข้อนี้นอกเหนือจากการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมก็ได้
ในกรณีที่มหาเถรสมาคมพิจารณาจากรายงานดังกล่าวและพยานหลักฐานอื่นประกอบกันแล้ว เห็นว่าพระภิกษุผู้เป็นจำเลย ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่อง อันเป็นโลกวัชชะเป็นอาจิณ ทั้งความประพฤตินั้นเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ล่วงมาแล้ว หากให้ดำรงเพศบรรพชิตต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ มหาเถระสมาคมมีอำนาจวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศได้ ทั้งนี้ไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่ว่าในชั้นใดๆ
๕. คำวินิจฉัยให้พระภิกษุสละสมณเพศตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ ให้เป็นอันถึงที่สุด
๖. เมื่อมีคำวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปใดสละสมณเพศตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ แล้วให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัย หรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองวัด หรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้นแล้วแต่กรณี แจ้งผลคำวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นทราบ และจัดการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ
ในกรณีที่ไม่อาจพบพระภิกษุรูปนั้นหรือพระภิกษุรูปนั้นไม่ยอมรับทราบคำวินิจฉัย เมื่อปิดประกาศคำวินิจฉัยไว้ ณ ที่พำนักอาศัยของพระภิกษุรูปนั้น ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นทราบคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว
๗. พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศต้องสึกภายในสามวัน นับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยนั้น
ในกรณีที่พระภิกษุรูปนั้นไม่สึกภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้พระภิกษุผู้มีหน้าที่จัดการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ ขออารักขาต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย
๘. ให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์แล้วแต่กรณี ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมและการพิจารณานั้นยังไม่ถึงที่สุด ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคมนี้และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ต่อไป
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๘
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม