คอลัมนิสต์

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

09 พ.ย. 2559

บายไลน์ - ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์

“สะนิง รายอ ลาลูเกาะนิง”

ภรรยาของ “วาเด็ง ปูเต๊ะ” หรือ “เป๊าะเด็ง” ซึ่งนั่งอยู่ในดางาฮ์ หรือขนำน้อยกลางสวนผลไม้ รายงานทันทีที่เจอะเจอหน้าสามี ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านยามโพล้เพล้ หลังจากต้อนวัวควายเข้าคอก ว่า เมื่อสักครู่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินเสด็จฯ ผ่านมาทางนี้ เพราะเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไปในระยะไกลๆ และได้รับรู้ข่าวคราวจากที่เพื่อนบ้านเล่าให้ฟัง

ฝ่ายสามีนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังสิ่งที่ภรรยาบอกเล่าให้ฟังก็ทำหน้างงๆ ไม่เชื่อว่าสิ่งที่นางบอกเล่ามานั้นจะเป็นเรื่องจริงไปได้

“ฆีรอ ฆีรอ รายอมานอเนาะมาฆีตือแยนี”

วาเด็ง ปูเต๊ะ ในวัย ๗๐ ปี ต่อว่าภรรยาว่า จะบ้าแล้วหรือ จะมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหนเสด็จฯ มาได้ในเวลาเช่นนี้ เพราะบ้านทุ่งเค็จ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นถิ่นเกิดของตนเองนั้น นอกจากเป็นสถานที่ป่าเขาในชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ยังเป็นยามสนธยากาลที่ชาวบ้านแทบทุกคนต่างเดินทางกลับสู่เคหสถาน หลังจากตรากตรำงานมาทั้งวัน

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

อย่าว่าแต่คนนอกที่ไหนจะกล้าเข้าไปทัศนาพื้นที่เลย แม้แต่คนที่คุ้นชินสถานที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายคนยังมิกล้าหรือไม่เคยเข้าหรือไปถึงพื้นที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ

“ฆาลูเดาะฌายอ ตือลายือแลฆีแตเงาะ” ภรรยาซึ่งเริ่มหงุดหงิดในอาการของสามีที่ไม่ยอมเชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินผ่านมาทางนี้ จึงร้องท้าทายให้สามีลองเดินตามไปดู โดยชี้ไปยังทิศทางซึ่งขบวนเสด็จเพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ โดยผ่านจากสวนผลไม้ของตนมุ่งไปยังอีกฟากพื้นที่หนึ่ง ซึ่งในเวลานั้นคณะที่ตามเสด็จไม่มีใครทราบมาก่อนว่า สวนผลไม้ร่มครึ้มอันเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ทั้งทุเรียน เงาะ ฯลฯ ที่เดินผ่าน คือสวนผลไม้ของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ

วาเด็งประจักษ์ในคำยืนยัน ใจเริ่มคล้อยเห็นว่าสิ่งที่ภรรยาพูดนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะนางยืนยันหนักแน่น พร้อมกับท้าทายให้เดินตามไปพิสูจน์ดูด้วยตัวเอง จึงตัดสินใจลองเดินไปตามทางที่ภรรยาบอก จากที่ตั้งสวนผลไม้ของตนเองมุ่งไปยังทิศใต้ ซึ่งมีลำคลองเล็กๆ เปี่ยมไปด้วยน้ำใสไหลผ่านอยู่เป็นนิตย์

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของชายไทยมุสลิมคนหนึ่ง อย่างที่ไม่เคยคาดคิดว่า ในชีวิตจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างล้นพ้น กระทั่งได้รับการเรียกขานในกาลต่อมาว่า วาเด็ง ปูเต๊ะ : พระสหายแห่งสายบุรี

ณ เบื้องหน้าอันไกลโพ้นพ้นขอบฟ้าคราม แลเห็นสายน้ำกว้างใหญ่ บางส่วนคดโค้ง บางทีสายน้ำไหลแรงคะครืน บางครากลับสงบนิ่ง บางจุดในสายน้ำมีกระชังปลาลอยเลียบเป็นแนวยาว บางหมายเป็นแนวทรายขาวเด่น ริมตลิ่งมีเรือกสวนไร่นาป่าไม้สมบูรณ์

นี่คือแม่น้ำสายบุรี แหล่งน้ำสำคัญสายหนึ่งของ จ.ปัตตานี ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรีในเขต อ.แว้ง จ.นราธิวาส ความยาวประมาณ 186 กิโลเมตร สายน้ำสดใสไหลเย็นเยียบล่องเลียบเป็นร่องสายผันผ่านจาก อ.จะแนะ อ.ศรีสาคร อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และอ.รามัน จ.ยะลา ก่อนจะไหลลงสู่ท้องทะเลอ่าวไทย กลายเป็นปากน้ำสายบุรี ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ก่อเกิดพื้นที่ลุ่มน้ำถึง 4,600 ตารางกิโลเมตร

พื้นที่ลุ่มน้ำส่วนหนึ่งคือพื้นที่ที่เรียกกันว่า พรุ เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำขังและที่ลุ่มชื้นแฉะ มีชั้นของอินทรียวัตถุที่ยังไม่สลายตัว เต็มไปด้วยหญ้าและไม้ยืนต้นจำพวกเสม็ดและอื่นๆ อีกหลายชนิด โดยในปัตตานีพื้นที่พรุจะอยู่ทางตอนใต้ของ อ.ไม้แก่น ต่อเนื่องไปจนถึง จ.นราธิวาส รวมถึงในเขต อ.ยะหริ่ง และพรุในเขต อ.สายบุรี รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 6.03 ตารางกิโลเมตร

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

หนึ่งในพื้นที่พรุที่สำคัญของปัตตานี คือ “พรุแฆแฆ” ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อวิถีชีวิตและส่งผลสะท้อนต่อฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ และสำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพราะ ณ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่เกิดภาพถ่ายประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งที่อรรถาธิบายความได้มากมาย

พรุแฆแฆ เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่นับหมื่นไร่ที่มีน้ำขังและเสื่อมโทรม ชาวบ้านใช้ประโยชน์อะไรจากผืนดินไม่ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้ศึกษาหาวิธีการที่จะระบายน้ำในที่ลุ่มยามน้ำหลาก และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง เพื่อก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่

นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย โดยมีพระราชประสงค์ที่จะได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรของพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด รวมทั้งทรงทราบถึงความเดือดร้อนและความต้องการของราษฎร เพื่อจะได้ทรงช่วยปัดเป่าหรือสนองตอบ โดยเสด็จฯ ไปยังพื้นที่พรุแฆแฆด้วยพระองค์เอง เพื่อทอดพระเนตรสภาพพื้นที่เพื่อพิจารณาการก่อสร้างงานระบบระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มน้ำขัง และจัดหาสนับสนุนพื้นที่ทำการเกษตรให้แก่ราษฎรตำบลต่างๆ ในเขต อ.สายบุรี และอ.ปะนาเระ

วันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2535

บ้านเจาะโบ ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

ณ จุดหมายที่ 1 ที่บ้านเจาะโบ ต.แป้น อ.สายบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรพรุแฆแฆด้านตะวันตก และมีพระราชกระแสกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เป็นเวลานาน จนเวลาล่วงไปมาก จวนเย็นคล้อย ณ จุดนี้เองได้ทรงทราบข้อมูลใหม่จากพื้นที่ที่ได้จุดประกายความสนพระราชหฤทัยขึ้นฉับพลันทันที นั่นก็คือ แหล่งน้ำจืดที่คลองน้ำจืด หากสร้างอาคารกั้นน้ำได้ คลองน้ำจืดแห่งนี้ก็จะเปรียบเสมือนอ่างเก็บน้ำที่จะนำน้ำจืดมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล

พระสหายแห่งสายบุรี ต้นธารเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

ช่วงเวลานั้นเองได้ตัดสินพระราชหฤทัยทันทีว่า จะต้องเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรความเป็นไปได้ด้วยพระองค์เอง โดยระงับจุดหมายที่ 2 ที่ได้เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว มาเป็นคลองน้ำจืดแทน มิไยที่เจ้าหน้าที่รับผิดชอบทุกฝ่ายจะกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบว่า เสด็จฯ ไปไม่ได้ เนื่องจากความทุรกันดารไม่สะดวก เส้นทางรถยนต์ก็เข้าไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ความโกลาหลอลหม่านจะบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ในการปรับเปลี่ยนแผนสำหรับผู้ที่มิได้คุ้นเคยกับขบวนตามเสด็จ คงจะจินตนาการไม่ถูกว่าความสับสนวุ่นวายจะมีมากขนาดไหน

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใด และใครจะกล่าวว่าอย่างไร

พระราชกระแสรับสั่งมีเพียงสั้นๆ ว่า “ไปได้”

“ขบวนรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ในเส้นทางที่มิได้มีการเตรียมการไว้ ท่ามกลางฝุ่นตลบฟุ้งกระจายจนรถคันหลังเกือบจะไม่เห็นหลังรถคันหน้า และเมื่อสิ้นสุดเส้นทางรถยนต์ที่จะฝ่าเข้าไปได้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จฯ ลงจากรถยนต์พระที่นั่ง และทรงพระราชดำเนินต่อไป เข้าไปตามทางเดินเท้าเล็กๆ ที่รอบข้างรกชัฏเป็นระยะทางไกลมากทีเดียว จนกระทั่งถึงชายคลองน้ำจืด ขณะแสงอาทิตย์ทอดตกขอบฟ้าลงพอดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยืนอยู่ ณ ที่นั้น ท่ามกลางความมืดสลัวปกคลุมบริเวณมากยิ่งขึ้น จนต้องใช้แสงไฟจากกระบอกไฟฉายส่องมองแผนที่ ทรงพิจารณาแผนที่ประกอบกับลักษณะทางกายภาพของภูมิประเทศ ทรงคิด...และพระราชทานแนวพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่เป็นเวลานาน ท่ามกลางความมืดมิดและความตึงเครียดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงพระปริวิตกแม้เพียงน้อยนิด เนื่องจากไม่ว่าพระองค์จะย่างพระบาทไป ณ หนใดบนผืนแผ่นดินไทยนี้ ทุกแห่งคือผืนแผ่นดินของประชาชน พสกนิกรผู้ที่พระองค์จะต้องอนาทรร้อนใจในทุกข์สุข และประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าที่ใดบนผืนแผ่นดินนี้ คือ พสกนิกรของพระองค์...”

ข้างต้นคือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์อันเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาพื้นที่พรุแฆแฆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับงานจัดการทรัพยากรน้ำ” โดยสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

เหตุการณ์ในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ภรรยาของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ซึ่งพักอาศัยอยู่ในดางาฮ์หรือขนำที่ขบวนเสด็จผ่านไป มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตามเสด็จอยู่ไกลๆ ขณะผ่านสวนผลไม้ของตน และรับรู้ต่อมา

ครูธีรพจน์ หะยีอาแว ซึ่งทำหน้าที่ล่ามภาษามลายูอยู่ในเวลานั้นและได้ตามเสด็จอย่างใกล้ชิด ขยายที่มาที่ไปของเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า เมื่อได้ทอดพระเนตรพื้นที่เพื่อหาแนวทางพัฒนาโครงการให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านในจุดที่ 1 แล้ว ตามหมายกำหนดการเดิม จุดที่ 2 ที่จะเสด็จฯ ต่อไปคือ พื้นที่บ้านบาเลาะ หมู่ 5 ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

“ในขณะที่ทอดพระเนตรแผนที่นั่นเอง พระองค์รับสั่งว่า จุดที่ 2 ที่กำหนดไว้เดิมจะไม่เสด็จฯ แล้ว แต่จะไปอีกที่หนึ่งแทน จากนั้นจึงทรงขับรถยนต์ด้วยพระองค์เอง กระทั่งไปถึงสะพานไม้เล็กๆ ที่พอให้รถยนต์วิ่งผ่านไปมาได้ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทรงหยุดรถบนสะพาน เสด็จพระราชดำเนินลงจากรถยนต์แล้วทอดพระเนตรแผนที่ มีพระราชกระแสรับสั่งว่า หากไปทางทิศใต้แล้วจะเจอคลองแห่งหนึ่ง จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปท่ามกลางป่าละเมาะแทบไม่เห็นทางเดิน เพราะบรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดครึ้ม”

ขบวนเสด็จเดินตามกันไปผ่านสวนผลไม้ของ “วาเด็ง” จนถึงคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี พระองค์ท่านทรงหยุดแล้วมีพระราชกระแสกับเจ้าหน้าที่ชลประทานว่า แนวทางที่จะพัฒนาเพื่อนำน้ำจากแม่น้ำสายบุรี ผ่านคลองขุดเข้าไป เพื่อที่จะให้พรุใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรได้ คือการนำน้ำเข้าไปในพื้นที่พรุผ่านทางคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ เพื่อล้างไม่ให้เกิดดินเปรี้ยว จะต้องทำประตูกั้นน้ำเพื่อปิดกั้นและระบายน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยืนและมีพระราชกระแสรับสั่งกับเจ้าหน้าที่ชลประทานเกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีชาวบ้านสักคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ กระทั่งถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนินกลับ ออกจากจุดที่ทอดพระเนตรคือบริเวณคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จได้สักพักหนึ่ง

ขณะนั้นเองที่ วาเด็ง ปูเต๊ะ เดินเท้าจากสวนผลไม้ของตนเองมุ่งตรงมาทางคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จเพื่อตามหาขบวนเสด็จ ตามที่ได้รับคำบอกเล่าจากภรรยา เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยไม่ได้สวมเสื้อ นุ่งเพียงกางเกงชาวเลขาก๊วยตัวหนึ่งกับผ้าขาวม้าคาดพุงอีกผืน ตามประสาชาวบ้านที่อยู่กินกันอย่างง่ายๆ

ระหว่างเวลานั้นวาเด็งได้พบเจอผู้คนในขบวนเสด็จ ซึ่งเดินสวนทางมา ทำให้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารายอ หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นชาวบ้านคนหนึ่งเดินสวนมาในขบวนเสด็จ จึงมีพระราชปฏิสันถารซักถามข้อมูลต่างๆ โดยละเอียด

“ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงซักถามถึงประวัติว่า ชื่ออะไร ประกอบอาชีพอะไร สภาพพื้นที่แถบนี้เป็นอย่างไร การประกอบอาชีพของชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง น้ำท่วมมากแค่ไหน ฯลฯ โดยระหว่างนั้นทั้งคณะเดินมาด้วยกัน ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซักถามข้อมูลต่างๆ จากลุงวาเด็งไปด้วย”

เมื่อขบวนตามเสด็จพากันเดินตามกันมาถึงสวนผลไม้ของลุงวาเด็ง พระองค์ท่านทรงหยุดและมีพระราชปฏิสันถารกับลุงวาเด็ง ณ จุดนี้เป็นเวลานาน กระทั่งมีการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชปฏิสันถารกับชายไทยมุสลิมคนหนึ่ง ที่ไม่แม้แต่สวมเสื้อ นุ่งเพียงกางเกงชาวเลขาก๊วยกับผ้าขาวม้าคาดพุงอีกผืน

“ตอนนั้นผมเป็นล่ามแปลภาษามลายูถวาย เพราะว่าลุงวาเด็งพูดไทยไม่ได้ ลุงวาเด็งเป็นคนที่มีลักษณะการพูดแบบที่เรียกกันว่า มีความจริงใจ และพูดแบบเอาจริงเอาจัง แต่มีมุกตลก เป็นคนอารมณ์ดี พูดคุยแล้วสนุกสนาน ผมก็แปลแบบมีตลกๆ บ้างตามแบบที่ลุงวาเด็งว่า แต่ว่าเสริมบรรยากาศให้มีความครึกครื้น วันนั้นพระเจ้าอยู่หัวพระสรวลเสียงดังมาก บางคนบอกว่าตั้งแต่ตามเสด็จมาไม่ค่อยได้ยินได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญเช่นนี้มาก่อน”

จากจุดนี้กล่าวกันว่า คงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับใจลุงวาเด็งเป็นพิเศษ ด้วยมีพระราชปฏิสันถารอยู่ด้วยเป็นเวลานาน

ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ ลุงวาเด็งบอกว่าไม่รู้ว่าจะถวายอะไรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะถวายทุเรียนก็ยังไม่สุก จึงบอกว่าจะถวายเครื่องสูบน้ำให้ ทำให้ผู้ตามขบวนเสด็จหัวเราะและประทับใจในอัธยาศัยของลุงวาเด็งเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ในช่วงนี้ มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ซึ่งตามเสด็จ เพื่อถวายงาน ได้บันทึกไว้โดยละเอียดว่า

"ลุงวาเด็งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด แล้วยังได้ถวายคำตอบเมื่อทรงถามข้อมูลได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อรู้ว่าเสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือ ลุงวาเด็งจึงกราบบังคมทูลเป็นภาษาพื้นบ้านว่า ดีใจมาก แต่ก็เหลียวซ้ายแลขวาผิดปกติ แล้วก็ตัดสินใจกราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาเยี่ยมทั้งที ไม่มีอะไรจะถวายเลย ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายได้เงินมา 2 หมื่นบาท ก็นำไปซื้อเครื่องสูบน้ำ ทั้งสวนเหลือทุเรียนผลเดียว หนำซ้ำยังดิบ

มีเสียงเย้าว่า “เครื่องสูบน้ำนั่นไง ยังใหม่อยู่ด้วย”

“ถอดเอาขึ้นรถไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว” ลุงวาเด็งกล่าวเด็ดเดี่ยวโดยไม่เสียเวลาคิด แล้วยิ้มซื่อโดยไม่คิดว่าเป็นการพูดเล่น และด้วยท่าทียินดีที่จะสละสมบัติมีค่าชิ้นเดียวซึ่งได้มาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายจากการทำงานมาทั้งปีทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่ตามเสด็จเกิดความรู้สึกตื้นตันใจเมื่อเห็นอากัปกิริยาอันเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เสแสร้งของลุงวาเด็ง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสรวลอย่างมีความสุขไม่ต่างไปจากลุงวาเด็ง

ลุงวาเด็งนั้น มีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นล้นพ้น ต่อมาจึงได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ เพื่อขุดคลองชลประทาน นอกจากนี้ยังส่งลองกอง ทุเรียน หรือส่งผลไม้อื่นๆ ไปทูลเกล้าฯ ถวายถึงพระตำหนักจิตรลดา กรุงเทพฯ

“เป๊าะส่งผลไม้ไปถวายทุกปี พอมีผลไม้จะส่งไปให้ทันที โดยเดินทางไปที่ไปรษณีย์สายบุรี ซื้อกล่องไปรษณีย์มาใส่ผลไม้เพื่อส่งทางไปรษณีย์ จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนที่อยู่ปลายทางให้ เพราะเป๊าะเขียนไม่เป็น ส่วนนามผู้ส่งเจ้าหน้าที่เขาจะถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของเป๊าะไว้แล้วใช้กาวแปะให้ที่กล่อง เพื่อให้ทรงทราบว่าส่งมาจากเป๊าะ แต่ถ้าพระองค์ท่านประทับอยู่ที่นี่ เป๊าะก็เอาไปถวายที่นี่ ปีที่ไม่ได้เสด็จฯ มาถึงส่งไปให้” วาเด็ง ปูเต๊ะ กล่าวถึงวัตรปฏิบัติประจำในชีวิตไปแล้ว เมื่อผลไม้ในสวนสุกก็จะจัดส่งไปทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

หลังจากนั้น คราใดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาทรงงานและเสด็จแปรพระราชฐานประทับแรมที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส วาเด็งจะไปเข้าเฝ้าฯ แทบทุกครั้ง บางครั้งไปรอเฝ้ารับเสด็จตามที่ต่างๆ กระทั่งภายหลังทุกครั้งไม่ว่าเจ้านายพระองค์ไหนเสด็จฯ มา ก็จะเข้าเฝ้าหมดทุกพระองค์

นอกจากนี้วาเด็งเคยเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในครั้งที่ทรงพระประชวรประทับรักษาพระอาการอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช และเคยเข้าเฝ้าฯ ถึงพระตำหนักจิตรลดา โดยนำผลไม้ไปทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ไม่ว่าจะเป็น เงาะ ทุเรียน สะตอ มังคุด ฯลฯ ถึงขนาดกล่าวกันว่า เวลามีอะไรวาเด็งก็จะนึกถึงแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

“ผมพาลุงวาเด็งไปเยี่ยมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ขึ้นไปถึงชั้นที่พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ ในวันนั้นเป็นการบังเอิญที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วย เพราะเสด็จฯ ไปเยี่ยมพระเจ้าอยู่หัวพอดี หลังจากที่พระองค์ทรงพูดคุยกับพวกเราเสร็จแล้ว พระองค์ท่านก็เสด็จฯ เข้าไปในห้องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ผมทราบตอนหลังว่า พระองค์ท่านไปทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ลุงวาเด็งกับคุณธีรพจน์มาเยี่ยม พระองค์ท่านก็ทรงพระสรวล” ครูธีรพจน์ หะยะอาแว ย้อนรำลึกความหลัง

ในขณะที่ ว่าที่ร.ท.ดิลก ศิริวัลลภ ล่ามภาษามลายูอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยนำวาเด็งไปเข้าเฝ้าฯ ถึงที่กรุงเทพฯ บอกเล่าว่า ครั้งหนึ่งได้พาลุงวาเด็งไปเข้าเฝ้าฯ เป็นกรณีพิเศษที่สวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาเพื่อรับวาเด็งโดยเฉพาะ

“พระองค์ได้พระราชทานเลี้ยงอาหารว่าง มีหลายพระองค์ที่ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนั้น ทั้งสมเด็จพระบรมฯ สมเด็จพระเทพฯ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ลุงวาเด็งได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดทุกพระองค์เป็นที่ปลาบปลื้มมาก พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งหลายอย่าง ถามอาการอะไรต่างๆ แล้วมีพระราชกระแสว่า ให้ดูแลสุขภาพให้ดี ให้ดูแลลูกหลาน ไม่ต้องทำงานหนักเพราะอายุมากแล้ว แต่แกบอกว่าแกยังแข็งแรง ยังขึ้นมะพร้าวได้ ทำงานหนักได้ (หัวเราะ) พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสอีกว่า มีอะไรจะให้ช่วยเหลือบ้าง แกบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว แกนั้นสบายหมดแล้ว มีกินมีใช้ คงไม่ลำบาก แกถามว่าพระเจ้าอยู่หัวต้องการที่ดินเพื่อทำโครงการอะไรอีกหรือไม่ ถ้าจะทำอะไรก็ยินดีจะให้อีก แกบอกว่า ถ้าพระเจ้าอยู่หัว แล้วแต่ขอ ไม่เสียดายเลย เพราะให้แล้วคุ้มเกิดประโยชน์กับประชาชน กับคนส่วนรวม ก็จะได้ถือโอกาสถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แสดงความจงรักภักดีองค์พระประมุขซึ่งเป็นที่เคารพรักของทุกคน”

หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสว่า ลุงวาเด็งจะขออะไรบ้าง ลุงวาเด็งบอกว่า ตัวเองนั้นแก่แล้ว หากตายไปอยากให้ช่วยดูแลลูกๆ หลานๆ ซึ่งก็พยายามแนะนำสั่งสอนอบรมให้มีความจงรักภักดี

“พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ไม่เป็นไรจะดูแลให้ แกจึงสบายใจ แกภูมิใจมาก เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มา แกก็จะไปคอยรับเสด็จ โดยเฉพาะเมื่อได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์จะรับสั่งว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้มานะ ลุงวาเด็ง แต่พระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งให้ฉันมาเยี่ยม ให้ฉันกับลูกๆ มาเยี่ยมแทน ลุงวาเด็งก็ดีใจ เวลาจะจากกันทุกครั้งลุงวาเด็งจะบอกว่า ฝากสลามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงอายุยืน จงทรงพระเจริญ”

“นานแล้วไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฯ ในหลวง คิดถึงท่านที่สุดเลย” วาเด็งเคยกล่าวไว้ก่อนจะเสียชีวิตไม่นานนัก

นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรที่มีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือเชื้อชาติใด ด้วยสถานะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นศูนย์รวมน้ำใจของทุกคนในชาติ โดยมิได้เลือกชั้น วรรณะ ศาสนา เพราะพระองค์คือ “พ่อของแผ่นดิน”