คอลัมนิสต์

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

10 พ.ย. 2559

ในหลวง...ในความทรงจำของนิสิตจุฬาฯ, ​​​​​​​คำสัญญาจากลูก, เดินตามคำสอน “พ่อ”, คำสอนของอากง... (ตีพิมพ์ใน นสพ.คมชัดลึก ฉบับวันที่ 10 และ 11 พ.ย.59)

 

            ในหลวง...ในความทรงจำของนิสิตจุฬาฯ

            ข้าพเจ้า นางจันทร์เพ็ญ ตั้งสุวรรณ อายุ 79 ปี เกิดในรัชกาลที่ 8  ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็ก ได้เห็นพระบรมสาทิสลักษณ์ ของ ในหลวงรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 มาตลอด

            ความประทับใจส่วนตัวที่มีต่อพ่อหลวง รัชกาลที่ 9...มีมากที่สุดคือ สมัยที่เรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ข้าพเจ้าเข้าเรียน ปี พ.ศ.2500 เป็นปีแรกที่พระราชทานดนตรีให้นิสิตจุฬาฯ ทรงให้ไปเข้าเฝ้าที่วังสวนอัมพร และถ่ายทอดวิทยุอส. ด้วย เริ่มตั้งแต่ บ่ายโมง สิ้นสุดราวเกือบ 2 ทุ่ม

            พระองค์ทรงแซกโซโฟนร่วมกับวงดนตรีอส. ช่วงท้ายพระองค์ให้นิสิตทั้งหมดร้องเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ โดยพระองค์และวงดนตรีบรรเลง พอจบเพลงพระองค์ท่านก็แกล้งเป่าแซกโซโฟนเริ่มต้นใหม่ วนเวียน 3-4 รอบ เหล่านิสิตร้องจนเหนื่อยและขำกันมากมาย พระองค์ทรงสนุกสนานมาก

            พระองค์ทรงดนตรีพระราชทาน นิสิตจุฬาฯ 15 ครั้ง ปีละครั้ง ตั้งแต่ ปี 2500-2516 ข้าพเจ้าได้รับเสด็จ 3-4 ครั้ง

            ครั้งหนึ่งของการเสด็จพระราชทานดนตรีที่หอประชุมจุฬา มีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ  เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ เจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ เจ้าฟ้าหญิงสิรินธรฯ และ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ตามเสด็จ ทางตัวแทนนิสิตได้ถวายกล่องของขวัญที่ระลึกแก่เจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ที่ยังทรงพระเยาว์ (ดังภาพ)

                    จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

            ครั้งต่อมา คือ ตอนที่ทรงเสด็จมาปลูกจามจุรี พระราชทาน 5 ต้น ที่ทรงเพาะเองจากวังไกลกังวลมาปลูกที่ข้างหน้าหอประชุมจุฬา ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าอยู่แถวหน้าๆ ก่อนนำลงปลูก พระองค์ทรงเล่าประทานประมาณว่า ต้นจามจุรีเหล่านี้ ได้เพาะเมล็ดที่วังไกลกังวลและเห็นว่า โตพอสมควรแล้ว ที่จะเข้ามหาวิทยาลัย และเห็นเหมาะสมที่จะพามาเข้าจุฬาเลยพามาเข้าจุฬา

                    จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

            ต่อจากนั้น ความประทับใจพิเศษ คือได้จับของชิ้นเดียวกับพระองค์ท่าน ถึง 2 ครั้งคือ ในการรับพระราชทานปริญญาบัตร จากพระองค์ท่าน ทั้ง ปริญญาตรี และ ปริญญาโท ถือเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่ง หาที่สุดมิได้

            ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

นางจันทร์เพ็ญ ตั้งสุวรรณ

ข้าราชการครูบำนาญ

อายุ 79 ปี

++++++++

            คำสัญญาจากลูก

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  ถึงวันนี้ยามได้ระลึกถึงพระองค์ ลูกคนนี้ก็ยังมีอาการจุกอกแทบทุกครั้ง จุกแบบพูดไม่ออก ยังเสียใจ ยังอาลัย แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าท่านยังอยู่ในใจของเราตราบนานเท่านานก็ตาม

            อยากรู้จังยามนี้พ่อของพวกเราอยู่ที่ไหนหนอ ท่านจะเห็นและยังคอยเป็นกำลังใจให้พวกเราอยู่มั้ย  ในยามที่เราท้อ ในยามที่พวกเราลำบาก  ในยามที่ประเทศยังมีปัญหา แม้หลายคนจะบอกว่าความคิดแบบนี้เห็นแก่ตัวจนเกินไปที่เรามักฝากและผลักภาระทุกสิ่งไปที่พระองค์

            แต่ก็ยังดี ที่ทำให้ลูกๆของท่านมีกำลังใจ ในวันที่อาจจะท้อแท้ ก็ขอมีพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอ

            สิ่งที่ลูกคนนี้จะตอบแทนพระคุณของพ่อได้ก็คือ การทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เพิ่มความแตกแยกให้กับสังคม ชี้ข้อดีข้อด้อยของทุกปัญหาอย่างไม่มีอคติ

            ด้วยใจที่อยากเห็นสังคมไทยกลับมาเป็นสังคมที่เข้มแข็ง รักกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

            ไม่เพียงแค่จะทำจะปฏิบัติ แต่จะคอยสอนน้องๆ รุ่นหลังให้มองและวิเคราะห์ทุกสิ่งด้วยเหตุและผล  ด้วยใจเป็นธรรม ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง  ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

สมฤดี ยี่ทอง

โปรดิวส์เซอร์ข่าวการเมือง-ความมั่นคง

ไทยรัฐทีวี

+++++

            เดินตามคำสอน “พ่อ

            ชีวิตนี้ครอบครัวของผมมีคำสอนของพ่อหลวงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต พระองค์ท่านทรงสอนเราในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตประจำวัน การกระทำความดี การกตัญญูรู้คุณรวมทั้งการให้ความสำคัญของผู้อื่น และทั้งหมดนี้คือแรงบันดาลใจของผม

            เรื่องแรกที่ผมเริ่มทำคือการกราบเท้าพ่อแม่ในวันสำคัญของชีวิตคือวันเกิด วันแม่ วันพ่อ และสอนให้ลูกทำตามด้วยเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อพ่อแม่

            อีกเรื่องที่ผมและครอบครัวทำ คือ ทำโครงการช่วยคัดกรองสุขภาพของชาวบ้านในหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านในหมู่บ้านรู้ถึงความเสี่ยงของตัวเองว่าขณะนี้ตัวของเค้ามีความเสี่ยงของโรคความดันและโรคเบาหวานอยู่ในระดับไหนเพื่อที่จะได้ป้องกันไว้ก่อน โดยเครื่องมือที่ใช้ทั้งหมดทางครอบครัวของผมจะเป็นผู้จัดซื้อเองและขอการสนับสนุนแผ่นตรวจน้ำตาลในเลือดจากโรงพยาบาลของรัฐ

            ส่วนเรื่องของผู้ที่ทำการคัดกรองก็จะเป็นหน้าที่ของคนในครอบครัวเพราะภรรยาและน้องสาวของผมเป็นพยาบาลเราจะแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ทุกคนได้ทำความดีเพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน และทุกวันนี้ก็ยังมีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องฉีดยาหรือตรวจวัดความดันเป็นประจำ

            เป็นการบริการสังคมแบบไม่หวังผลตอบแทนครับ

            สำหรับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆก็จะเป็นไปแบบพอเพียงไม่ใช้จ่ายเกินตัว แต่จะใช้แบบประหยัดและต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด

            ผมมั่นใจว่ายังมีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียง เพื่อชีวิตที่ดีไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้และต้องยืนด้วยความมั่นคงด้วย 

            ผมขอสัญญาว่าผมจะเป็นคนดีและทำแต่ความดีตลอดชีวิตนี้ครับ

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

อนุสนธิ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

อายุ 42 ปี

ข้าราชการ โรงพยาบาลถลาง

จ.ภูเก็ต

+++++

            คำสอนของอากง...

            ๓๗ ปีของชีวิตฉัน เกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙

            ฉันเกิดมาพร้อมกับเรื่องเล่ามากมายหลายหลากที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ พระมหากษัตริย์ผู้ทำงานหนัก เดินทางไปทั่วท้องถิ่นแดนไทย พ่อหลวงผู้ไม่เคยเดินทางออกนอกแผ่นดินไทยมาหลายปี แต่ทุ่มเทพละกำลังในการดูแลประชากรของพระองค์ประหนึ่งพ่อดูแลลูกๆทั่วหล้า

            ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก อากงของฉันซึ่งเป็นคนจีนเดินทางข้ามทะเลมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ติดรูปของในหลวง-พระราชินีไว้อย่างโดดเด่นกลางบ้าน รูปขนาดใหญ่ใส่กรอบอย่างสวยงามวิจิตร ดูโดดเด่นและแตกต่างจากบ้านคนหาเช้ากินค่ำที่มีเฟอร์นิเจอร์แบบธรรมดาอยู่เต็มบ้าน

            อากงสอนให้ฉันยกมือไหว้ท่านทุกครั้งที่เดินผ่านเข้าออก อากงชี้ให้ดูรูปของท่านในแบงค์และเหรียญต่าง ๆ คำสอนที่ว่าถ้าเจอรูป เหรียญหรืออะไรก็ตามที่มีรูปท่านตกอยู่ที่พื้นต้องเก็บขึ้นมาไว้บนโต๊ะ

            เติบโตมา แม้คำสอนจะติดอยู่ในความทรงจำ แต่เราได้ศึกษา ได้เรียนรู้และได้ติดตามสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ได้คิดและทำให้กับประชาชนชาวไทย ยิ่งทำให้ซาบซึ้งใจที่ได้เกิดมาภายใต้รัชสมัยของพระองค์ ได้มีมหาราชผู้ทรงงานหนักเพื่อให้ลูกๆของท่านได้ลืมตาอ้าปากอยู่อย่างสะดวกสบาย ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก

            4,000 กว่าโครงการในพระราชดำริ การเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปยังพื้นที่อันตรายต่าง ๆ ทั่วประเทศ การต่อสู้กับความยากจนซึ่งเป็นศัตรูหลักของประชาชน เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เราได้ยินกันมา แต่หากมาคิดว่านี่คือสิ่งที่คนสักคนหนึ่งทำให้กับประเทศประเทศหนึ่งแล้ว เราไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า ทำไมเราถึงรักผู้ชายคนนี้กันหนักหนา

            13 ตุลาคม พ.ศ.2559 เป็นอีกวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก พ่อหลวงของประเทศไทยได้จากลูกๆไป ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจมากมาย พระองค์ยังทรงเป็นหลักชัยให้คนไทยหันกลับมารักกัน ร่วมแรงร่วมใจกันได้อีกครั้งหนึ่ง

            สุดท้ายนี้ ฉันก็ได้แต่หวังว่าลูก ๆ ของพ่อทุกคนจะจดจำคำสั่งสอนของพ่อให้ได้ ช่วยกันเดินหน้าประพฤติปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ ช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศไทย พัฒนาบ้านของพ่อให้เติบโตอย่างเข้มแข็งกันต่อไปในอนาคต

            พ่อหลวงจะอยู่ในจิตใจของลูก ๆ ไปตลอดกาล...

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล

อายุ 37 ปี

พนักงานบริษัทเอกชน

+++++

จากใจ “ลูกชาวจีน” ถึง “ในหลวงรัชกาลที่9”

            “พวกลื้อที่เป็นลูกจีน ได้มาเกิดในเมืองไทย ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ถือว่าพวกลื้อเป็นคนไทย ต้องกตัญญูตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินไทย” เสียง “อาปา” หรือ “พ่อของสามี” พูดกับ “ลูกสะใภ้” อย่างฉัน ขณะเล่าเรื่องราวความหลังในชีวิตที่ผ่านพ้นไป

            ย้อนกลับไปกว่า 80 ปีก่อน อาปาเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ขนานแท้ ที่โชคชะตาพลิกผัน ทำให้ต้องจากบ้านมาไกล ทิ้งพ่อแม่ พี่น้อง เอาไว้ที่เมืองจีนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทุกครั้งที่อาปาพูดถึง “พ่อ กับ แม่” อาปาจะมีน้ำตาเสมอ พร้อมกับคำพูดสะเทือนใจฉันทุกครั้งที่ได้ฟังว่า “อาปาเป็นลูกอกตัญญู” เพราะพ่อแม่ชาวจีนแท้ๆ ของอาปา ต้องประสบกับชะตากรรมอันน่าสลด บรรพบุรุษทั้งสองท่าน เสียชีวิตด้วยการ “อดตาย” จากผลกระทบทางภัยธรรมชาติ ประชาชนอดอยาก และความไม่สงบในประเทศ เกิดกลุ่มคนจนปล้นคนรวย เรียกว่าเป็นกลียุคของจีนในสมัยหนึ่ง

            ส่งผลให้ อาปา ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เมืองไทย ด้วยเหตุผลอันแสนง่ายดาย ของเด็กวัยรุ่นผู้ถูกเพื่อนท้าพนันในประโยคที่ว่า “ถ้าแน่จริง ลื้อกล้าไปประเทศไทยไหม” ทำให้ อาปา หรือ นายบักง้วง แซ่เจี่ย ในวัยห้าวหาญ รับคำท้าและไปนำเงินกงสีจากเสมียนที่บ้าน ซึ่งเป็น “ร้านค้าขนาดใหญ่” ในหมู่บ้านที่เมืองจีน ติดตัวไปเพียงเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นค่าเดินทาง เพราะตั้งใจแค่จะนั่งเรือข้ามไปฝั่งไทย แล้วกลับมาประเทศจีน แต่ปรากฏว่าพอมาถึงเมืองไทย เงินที่มีติดตัว ได้หมดลงพอดี

            จากคนที่ไม่เคยทำงานหนัก ทำให้อาปาต้องรับจ้างทำงานทุกอย่าง เพื่อจะหาเงินกลับประเทศ โดยระหว่างนั้นประเทศจีนเกิดสภาวะความไม่สงบ ทำให้อาปาไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้ อาปาจึงทำได้เพียง “ส่งจดหมาย” ไปบอกที่บ้านว่า อาปาอยู่ที่เมืองไทย ไม่ต้องเป็นห่วง

            เมื่อเวลาผ่านพ้นไป อาปา ได้รับจดหมายจาก “น้องชาย” ที่ส่งมาจากเมืองจีนว่า “พ่อแม่ตายแล้ว” คำว่า “ลูกอกตัญญู” จึงวนเวียนอยู่ในมโนสำนึกของอาปามาโดยตลอด อาปาเล่าว่าขณะที่อาปารู้ว่าพ่อแม่เสียชีวิต เป็นช่วงเวลาที่อาปาเพิ่ง “แต่งงาน” กับเจ้าสาวชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน ทำให้อาปาต้องใส่ชุด “ไว้ทุกข์” หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน

            การไถ่บาปต่อความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ ทำให้ชีวิตของบุพการีต้องประสบกับชะตากรรมสุดแสนลำเค็ญ อาปาจึงต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อ “ส่งเงิน” กลับไปเมืองจีนทำ “สุสาน” ให้พ่อแม่ และ “สร้างบ้าน” ให้น้องชายจนเสร็จ

            อาปาเป็นคนจีนที่อ่านหนังสือไทยไม่ออก แต่พูดภาษาไทยได้ ช่วงที่อาปายังมีชีวิตอยู่ ฉันจะเห็นอาปานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีน ที่พิมพ์ข่าวภายในประเทศไทย บนเก้าอี้หวายในบ้าน และในหนังสือพิมพ์จะมีเรื่องราวพระราชกรณียกิจของ“ในหลวงรัชกาลที่ 9” อาปารู้เรื่องของ “ในหลวง” จากหนังสือพิมพ์จีน และจากข่าวในพระราชสำนักทางโทรทัศน์ ฉันจำคำพูดของอาปาที่พูดเป็นภาษาจีน ถึงในหลวงได้ขึ้นใจ อาปาบอกเสมอว่า

            “ในหลวงของไทยดีมาก จะหาแบบนี้ ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว พร้อมกับสอนลูกหลานว่า พวกลื้อโชคดีที่เป็นลูกจีน แต่ได้มาเกิดในเมืองไทย ทำให้ไม่ลำบาก ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ถือว่าพวกลื้อเป็นคนไทย ต้องกตัญญูตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินไทย”

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ” 

ศรีรัตน์ อำไพรัตนพล

อายุ 58 ปี

อาชีพ ธุรกิจส่วนตัว

+++++