คอลัมนิสต์

จากใจ "ลูก" ถึง "พ่อ"

จากใจ "ลูก" ถึง "พ่อ"

07 พ.ย. 2559

กาลเวลาพิสูจน์ศรัทธา, ยึดความเพียร...ตามรอยพ่อ, พ่อที่อุทิศพระวรกายเพื่อลูกโดยไม่มีเงื่อนไข (ตีพิมพ์ใน นสพ.คมชัดลึก ฉบับวันที่ 7 พ.ย.2559)

            กาลเวลาพิสูจน์ศรัทธา

            ตั้งแต่จำความได้ เมื่อประมาณ 57 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจำได้ว่า คนสูงอายุสมัยนั้นเรียกในหลวงว่า พระเจ้าแผ่นดิน หรือพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าเข้าใจเองว่าคือพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 

            ในสมัยนั้นจะได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวจากภาพวาด ใส่กรอบไม้เล็กๆ มีสีสันสวยงามจากรูปปฏิทินที่วาดขึ้นมา ทีวีก็ยังไม่มีดู ฟังแค่วิทยุเท่านั้นไม่เคยเห็นพระองค์จริงๆ

            จนประมาณปี พ.ศ.2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มายกช่อฟ้าที่ วัดบ้านกล้วย อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี พ่อแม่ได้พาลูกๆ รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเดินทางไปรับเสด็จ จึงได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์จริงๆ แค่ระยะห่างประมาณ 50 เมตร เพราะยังเป็นเด็กเลยไม่รู้สึกอะไร ต่อมาได้มีโอกาสดูจากโทรทัศน์ เลยได้ทราบว่าพระมหากษัตริย์ชาติไทยคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

            ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดพระองค์ท่านที่สุดเมื่อปี พ.ศ.2522 หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) วิทยาเขตพิษณุโลก ระดับปริญญาตรี และมีโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้เริ่มมีความรู้สึกรักและศรัทธาพระองค์ท่าน

            จนมาปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการครูที่โรงเรียนพัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ตั้งแต่ พ.ศ.2528 และได้รับเสด็จพระองค์อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 ซึ่งนำความภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ทำให้พี่น้องชาวพัฒนานิคม มีความสุขความเจริญตราบจนวันนี้ 

            อานิสงส์จากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในครั้งนั้น เดิมโรงเรียนพัฒนานิคม มีนักเรียนจำนวนทั้งหมด 500 กว่าคน ผู้ปกครอง ประกอบอาชีพทำไร่ เลี้ยงโคนม มีแต่ป่าเขาห่างไกลความเจริญการเดินทางก็ลำบาก เพียงแค่ 5-10 ปีหลังจากเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ.พัฒนานิคม ในขณะนี้มีความเจริญก้าวหน้า มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวบ้านส่งบุตรหลานเข้าเรียนจำนวนมาก ตอนนี้โรงเรียนเรามีนักเรียนมากถึง 1,500 กว่าคน 

            ข้าพเจ้าได้เห็นความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา จึงสามารถบรรยายจากความทรงจำที่ผ่านมาให้เห็นความเปลี่ยนแปลง กล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปเหยียบพื้นดินตรงไหนก็จะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้ทุกหย่อมหญ้า

            จึงทำให้รู้ว่าพ่อหลวงของประชาชาวไทย มีความหมาย ความสำคัญ มีความยิ่งใหญ่ แก่พี่น้องชาวไทย ด้วยความจงรักภักดี ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป และจะขอเป็นครูที่ดี ดูแลนักเรียนให้เป็นคนดีตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน

จากใจ \"ลูก\" ถึง \"พ่อ\"

นายวันชัย ประดับมุข

อายุ 59 ปี

ข้าราชการครู

ร.ร.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี

+++++

            ยึดความเพียร...ตามรอยพ่อ

            ตั้งแต่ที่เกิดมาจำความได้ ก็เกิดในแผ่นดินที่มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่แล้ว ที่คุ้นตาในจอทีวีก็จะเห็นพระองค์ท่านทรงงานตั้งแต่ทรงครองราชย์ แม้กระทั่งทรงพระประชวรท่านยังทรงงาน

            พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างของคุณงามความดีในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความกตัญญู การครองเรือน การกีฬา การดนตรี การดำรงชีวิตที่แสนจะเรียบง่าย สุภาพ อ่อนโยน สุขุม สง่างาม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงฝากไว้ให้คนไทย

            พระองค์ท่านใส่พระราชหฤทัยในทุกๆ เรื่องที่ทรงทำ ดังนั้น งานที่พระองค์ท่านทรงทำจึงออกมาอย่างงดงาม

            ในโครงการหลายๆ โครงการที่พระองค์ท่านทรงริเริ่มสร้างล้วนสร้างไว้เพื่อคนไทยได้มีความเป็นอยู่ที่ดี หรือแม้พระราชดำรัส ช่างลึกซึ้งและเข้าใจในสถานการณ์นั้นๆ ชึ่งคงไว้ให้คนไทยได้คิดและทำตาม

            ไม่เพียงแต่พระราชดำรัสเท่านั้น พระองค์ท่านทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างเพื่อให้ชาวไทยทุกคนได้เข้าใจมากขึ้น ทรงฝากข้อคิดในหลายๆ ด้านหลายๆโครงการไว้

            ดีใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย เป็นแบบอย่างที่ดีของปวงชาวไทย เป็นศูนย์รวมใจของคนไทย

            ในฐานะ “นักกีฬาทีมชาติคนพิการ” ได้นำหลักคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง คือ ความเพียร โดยเฉพาะช่วงแรกที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อให้มีเวลาซ้อมกีฬาปิงปองอย่างจริงจัง เป็นช่วงที่ต้องใช้ความเพียรหนักมาก เพราะต้องรับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง ในขณะที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อย

            ในช่วงที่เงินเก็บก้อนสุดท้ายหมด ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีรายได้เข้ามา ทั้งขายลอตเตอรี่ ขายของตามตลาดนัด ขายของตามป้ายรถเมล์ ลองผิดลองถูก เคยเอาของไปขายกลับขายไม่ได้ ขาดทุนก็มี หอบของขึ้นรถเมล์ แถมยังต้องบริหารเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้มีเวลาได้ไปซ้อมปิงปองด้วย

            ถ้าไม่มีความเพียร คงไม่สามารถเอาตัวรอดมาได้ ตอนนั้นก็เคยคิดว่าในหลวงท่านทรงงานหนักกว่าเราอีก เพราะฉะนั้น เราก็ต้องทำได้สิ สุดท้ายก็สามารถผ่านอุปสรรคหนักหนามาได้ ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติคนพิการ ได้เหรียญรางวัลในการแข่งขันหลายครั้ง ที่ประสบผลสำเร็จที่สุดคือ เอเชียนพาราเกมส์ ที่ประเทศเกาหลีใต้ 2014 เป็นครั้งแรกที่ได้แข่งรายการนี้ และได้เหรียญเงิน ประเภททีม ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ และได้เข้าสังกัดการท่าเรือแห่งประเทศไทย

            ทุกครั้งที่มองเหรียญเครื่องราชย์นี้ ภาพแห่งความปีติถูกเปิดขึ้นในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการตอกย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ถ้าเรามีความเพียรไม่ว่าเราจะทำอะไรก็สำเร็จได้ แต่ต้องลงมือทำสม่ำเสมอและอดทนรอคอยตามที่ในหลวงสอนเราไว้

            ดีใจที่ได้เกิดบนพื้นแผ่นดินนี้ ที่มีในหลวงที่ประเสริฐที่สุด และมีแนวทางที่ท่านทรงวางไว้ให้ได้เดินตาม พระองค์ท่านไม่ได้จากเราไปไหน ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของเรา ตราบเท่าที่เราระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน

จากใจ \"ลูก\" ถึง \"พ่อ\"

น.ส.ชญานันทน์ เสฎฐีศรีเกิดกุล

อายุ 39 ปี

นักกีฬาปิงปองทีมชาติคนพิการ

สังกัดการท่าเรือแห่งประเทศไทย

+++++

            พ่อที่อุทิศพระวรกายเพื่อลูกโดยไม่มีเงื่อนไข

            เมื่อย้อนกลับไปในค่ำคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 บอกตรงๆ ว่าพยายามข่มตานอน แต่ก็นอนไม่หลับ ใจมันแปลบๆ เพราะหัวใจสื่อออกมาว่าเราได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งแล้วนะ  

            เมื่อกว่า 10 ปีก่อนการสูญเสียพ่อบังเกิดเกล้าของเราครั้งนั้นเราเสียใจเพียงคนในครอบครัวและคนที่รักนับถือ แต่การสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่ความเสียใจเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นความเสียใจของคนทั้งแผ่นดิน และคนไทยทั่วโลกอีกมหาศาลที่รับทราบข่าวร้ายนี้

            นึกถึงตอนที่ผมยังเรียนเพียงชั้นมัธยมต้น เป็นความโชคดีของลูกเสือดุริยางค์คนหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถใกล้ๆ ในขณะที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก สองมือที่รัวกลองแท็กกับบทเพลงสรรเสริญพระบารมี สั่นไปหมด   

            ครั้งต่อมาได้ชื่นชมพระบารมีทางโทรทัศน์ ในการเสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นในหลวงทางทีวี โดยเฉพาะการลุกขึ้นยืนถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ในโรงภาพยนตร์อย่างไม่เคยเก้อเขินแม้แต่ครั้งเดียว     

            ตั้งแต่ผมเล็กจนโตมา แม่เป็นคนหนึ่งที่ชอบพูดถึงในหลวง แม่พูดถึงทีไรแม่ก็มีความสุข แม่ชอบซื้อหนังสือที่มีเรื่องของในหลวงและพระราชินี มาให้ผมอ่านจนจำได้  

            จนทุกวันนี้เมื่อเวลาที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) หน่วยงานที่ผมปฏิบัติงานอยู่จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ เมื่อทำหน้าที่พิธีกรผมก็ชอบเล่าเรื่องราวของพระองค์ท่าน ให้ผู้ร่วมงานฟัง คนฟังก็ชอบและอยากฟัง เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนรักและเทิดทูนไว้ในหัวใจ 

            แม้ระยะหลังที่ในหลวงไม่ได้เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแล้ว แต่ภาพเดิมๆ ที่เห็นพระองค์เสด็จฯ ก็ยังติดตาอยู่ ทำให้นึกถึงทุกครั้งว่า เราโชคดีมากนะที่ได้เกิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ พระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงอุทิศพระวรกายให้แก่ประชาชนอย่างไม่มีเงื่อนไขตลอดเวลา แม้ว่าทรงพระประชวรอยู่โรงพยาบาลศิริราช ยังมีพระราชอุตสาหะ ทรงออกแบบถนน สะพาน ทรงงานอยู่ตลอด

            เมื่อเป็นเรื่องของพสกนิกร พระองค์ทรงนึกถึงก่อนเสมอ ในทางกลับกันเมื่อยามที่คนหลายคนท้อแท้หมดกำลังใจ ก็มักจะนึกถึงพระองค์ก่อนเสมอ จนมีแรงมีกำลัง มีแรงผลักดันให้สู้ต่อไป 

            เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้ไปพูดคุยในรายการที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง  เรื่องราวของพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทยทั้งแผ่นดินก็พรั่งพรูออกจากปากของผมและผู้ร่วมจัดรายการ ด้วยเหตุผล เพื่ออยากถ่ายทอดไปสู่ผู้ฟังในทุกหัวระแหงให้ได้ยินว่า “หยาดเหงื่อของพ่อพระองค์นี้ ก็เพื่อคลายทุกข์พสกนิกร”

            ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบันทึกจดจำอยู่ในหัวสมองซึ่งเป็นข้ารองพระบาทเล็กๆคนนี้ ทั้งจากคำบอกเล่าของผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณหรือจากการอ่าน จากการเห็น จึงไม่น่าเชื่อว่าทุกคำพูดราวหนึ่งชั่วโมงเต็มนั้นไม่เคยต้องใช้สคริปต์   

            แต่สิ่งที่ผมเชื่ออยู่เพียงเรื่องเดียวที่สามารถทำให้ผมจำเรื่องราวและพระราชกรณียกิจของพระองค์ไดัอย่างแม่นยำ ก็เพราะตั้งแต่เด็กจนโตมา “ผมรักและเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 และจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป” ครับ

จากใจ \"ลูก\" ถึง \"พ่อ\"

ธนพล    อาภรณ์พงษ์

หัวหน้าแผนกกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม  

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคเหนือ) จ.ลพบุรี