คอลัมนิสต์

 “อัศวิน ขวัญเมือง” พ่อเมือง กทม. คนใหม่ : อัศวินของใคร ?

“อัศวิน ขวัญเมือง” พ่อเมือง กทม. คนใหม่ : อัศวินของใคร ?

19 ต.ค. 2559

(รายงาน) “อัศวิน ขวัญเมือง” พ่อเมือง กทม. คนใหม่ : อัศวินของใคร ? สำนักข่าวเนชั่น โดย ธนัชพงศ์ คงสาย , อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

 หลังจากถูกคำสั่งพักงานมาเป็นเวลาร่วมๆสองเดือน  สุดท้ายแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ก็กลายเป็นอดีตไปจริงๆ  จากคำสั่งล่าสุดของหัวหน้าคสช.ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 44  สั่งให้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อม รองผู้ว่าฯทั้ง 4 คน และในคำสั่งฉบับเดียวกันก็แต่งตั้งให้ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง”เป็นผู้ว่าราชการ กทม. จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

 

เหตุผลที่ปลด “ชายหมู” คงไม่ต้องพูดถึงกันเพราะเป็นที่รู้กันแล้วว่าเพราะอะไร  แต่เหตุใดจึงต้องเป็น “อัศวิน ขวัญเมือง”  ยังคงเป็นข้อสงสัย ซึ่งเราจะมาค่อยๆเฉลยกัน

 

“อัศวิน” นั้นเดิมเป็นตำรวจ โดยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 30  รุ่นเดียวกับ  พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง  พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์  ตำแหน่งสูงสุดขณะเป็นตำรวจอยู่ที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  แต่ก่อนหน้านั้นเขาผ่านตำแหน่งสำคัญๆมาไม่น้อยว่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวนนครบาล  ในช่วงปี 2550-2551  ผู้บังคับบัญชากองปราบปรามเมื่อปี 2542  

ว่ากันว่าเขาได้รับแรงสนับสนุนจาก“สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในสมัยที่เป็นรองนายกฯที่ดูแลด้านความมั่นคงอยู่ไม่น้อย

 

คดีที่สำคัญ ก็ผ่านมาไม่น้อย เช่นคลี่คลายคดีสังหารมารดาของ นางคมคาย พลบุตร  อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์   คลี่คลายคดี “คาร์บอมบ์”  ลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร   จับกุม นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซียะ   คดีจับกุมนายนพพล ประสงค์ศิล (จิ๊บ ไผ่เขียว) และคดีวิสามัญฆาตกรรมนายชาญชัย ประสงค์ศิล (โจ๊ก ไผ่เขียว)

 

แต่คดีที่เป็นที่จดจำและเป็นคำถามก็มีคือคดีวิสามัญฆาตกรรม นายสุพฤกษ์ หรือ สุเทพ เรือนใจมั่น หรือ  “โจ ด่านช้าง”  ซึ่งขณะนั้น “อัศวิน”  ร่วมอยู่ในทีมกับ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ด้วย

 

เมื่อเกษียณจากชีวิตราชการเขาก็มารับตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยเป็นหนึ่งในทีมงานของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์”  ซึ่งเขาเป็น 1 ใน 2 ที่มาจากโควตาพรรคประชาธิปัตย์ ต้นสังกัดของอดีตผู้ว่า กทม.  ร่วมกับ “ผุสดี ตามไท”

 

มีเสียงเล่าว่า “อัศวิน” นั้นไม่ได้มาเพราะสนิทสนมกับ “คุณชายสุขุมพันธุ์” หากแต่ได้รับการทาบทามจาก “ชวน หลีกภัย” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”   และแน่นอนว่าย่อมมีเสียงกระซิบเช่นกันว่า หนึ่งในแรงผลักดันก็มาจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ”   

  

ที่ผ่านมางานในหน้าที่ของ “อัศวิน” คือการ ดูแลสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยซึ่งก็ทำได้เป็นอย่างดี  

 

แต่ผลงานที่สร้างชื่อและน่าจะสร้างความพึงพอใจให้กับหัวหน้าคสช. มีสามประการ

1.ผลงานการจัดระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นรถตู้อนุสาวรีย์  ทางเท้าสยาม  คลองถม สะพานเหล็ก    มันคงไม่ใช่เรื่องยากหากใช้แต่กำลังเข้าไล่รื้อ  แต่หากฝีมือของ “อัศวิน” อยู่ที่การเจรจา ที่มีลูกล่อลูกชน รู้จักแข็งรู้จักอ่อน ว่ากันว่าเป็นบทเรียนที่เขาได้มาระหว่างการเป็นตำรวจ 

 

คนที่อยู่ในวงเจรจาหลายครั้งเล่าว่า ในการเจรจาเขาไม่เคยตำหนิผู้ค้า  จะมีการพูดเจรจาอย่างนุ่มนวล แต่หากแข็งมาเขาก็แข็งกลับเช่นกัน  และสิ่งที่ทำให้การเจรจามักจะได้ผลเพราะเขาเป็นคนชนิดที่เรียกว่า “คำไหนคำนั้น”   และจากผลงานนี้เองทำให้ได้รับคำชมทั้งจากผู้มีอำนาจและประชาชนไปไม่น้อย ขณะที่ผู้ค้าเองก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านมากอย่างที่คาดการณ์กันไว้ 

2.เรื่องการแก้ปัญหารถดับเพลิง ที่ค้างคามาร่วมสิบปี จนสุดท้ายสามาระนำรถที่จอดเอาไว้มาซ่อมและนำออกมาใช้ได้ ที่สำคัญคือการโยกงบประมาณมาใช้จนเรื่องทุกอย่างเคลียร์ได้เรียบร้อย

และเรื่องที่ 3. คือผลงานการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า   เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหาร กทม. กับ สภา กทม. ที่ไม่ลงรอยกันเรื่องงบประมาณซึ่งมีกว่า 75,000 ล้าน  จนฝ่ายบริหารคนอื่นไม่ยอมเซ็น จนร่ำๆว่าจะประกาศไม่ได้   จนถึงเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมาที่เหมือจะเป็นเดดไลน์  ซึ่งขณะนัั้นไม่มีตำแหน่งผู้ว่าอยู่แล้ว  และรองผู้ว่าฯคนอื่นอีกสามคนก็พร้อมใจกันลา ไม่ยอมลงนามเพื่อประกาศใช้   เขาจึงใช้อำนาจในฐานะรองผู้ว่าฯที่ยังทำงานอยู่เซ็นประกาศคำสั่งออกไป

 

ว่ากันว่าการแก้ปัญหาเช่นนี้เข้าตาผู้มีอำนาจไม่น้อย  แ่ก็ปฏิเสะไม่ได้ว่า การกล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ เขาย่อมต้องได้รับอาณัติสัญญาณมาบางอย่างเช่นกัน 

 

อย่างไรก็ตามจากนี้ต้องจับตาดูทั้งเรื่องการทำงาน และการเมือง  แน่นอนว่าเมื่อมีคำสั่งเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นคำครหาที่บอกว่าเป็นคนของ “คสช.” รวมทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการเลื่อยขาก็น่าที่จะมีตามมาเป็นระยะๆ ซึ่งเขาจะสามารถทำงานได้ราบรื่นตลอดรอดฝั่งหรือไม่  และอีกมุมเขาจะเลือกทีมงานของ “สุขุมพันธุ์” ที่มีอยู่เดิม รวมถึงของพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมเป็นทีมงานของเขาหรือไม่  หรือที่สุดเขาอาจจะเลือกเซ็ททีมใหม่ ในฐานะของ “ทีมอัศวิน” ก็เป็นได้  

 

ส่วนเรื่องานก็มีทั้งงานเฉพาะหน้า และงานระยะยาว  งานเฉพาะหน้าและเป็นงานใหญ่ของคนไทยทุกคน คืองานพิธีแสดงความอาลัยต่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ   ซึ่งถนนทุกสายจะพุ่งเข้าสู่ กทม.ประชาชนจะหลั่งไหลเข้ามาซึ่ง กทม. ต้องรองรับให้ได้ รวมถึงอำนายความสะดวก เช่นการรับส่ง ที่พัก แพทย์ พยาบาล   ส่วนการจัดพระราชพิธีต่อจานี้ กทม. ก็ต้องเป็นผู้ประสานงาน และจัดการในหลายๆเรื่อง นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ “ประยุทธ์” ต้องรีบตั้ง “พ่อเมือง กทม.” อย่างเป็นทางการเพื่อรองรับงานระดับนี้

 

ส่วนงานอื่นที่เขาก็ต้องเจอคือการจัดระเบียบซึ่งแม้ที่ผ่านมาจะเป็นไปด้วยดี แต่อาจจะไม่ใช้กับที่ “ชุมชนป้อมมหากาฬ” ที่มีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และมีเสียงสนับสนุนนจากภาคประชาชนอื่นๆ  ว่ากันตามจริงแล้ว ณ ที่แห่งนี้ เสียงสนับสนุนผู้ค้าผู้อาศัยจะมีมากการกว่าผู้สนับสนุนภาระกิจของ กทม. ด้วยซ้ำ และจะมีผู้ออกมาร่วมสู้ด้วยเป็นจำนวนมาก

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่รัฐบาลพยายามจะทำให้ได้ แต่ที่ผ่านมาก็ต้องสู้กับเสียงค้าน ซึ่ง กทม. ก็ต้องเป็นผู้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน   มิพักต้องพูดถึงเรื่องการจัดการงานทั่วไปเช่นสาธารณูปโภค การจราจร  หรือกระทั่งการกวาดบ้านเรื่องทุจริตใน กทม. 

 

เหล่านี้ล้วน แต่เป็นเรื่องท้าทายผู้ว่าฯกทม. คนใหม่ทั้งสิ้น และคนย่อมคาดหวังกับการเข้ามาของ “อัศวิน” คนนี้อยู่ไม่น้อย เพราะภาพที่คอยหนุนหลังเขาคือ “หัวหน้า คสช.”   หากทำดีก็ชัดว่าใครจะได้รับผลพลอยได้  แต่หากผลงานไม่เข้าตาผลที่ออกมาก็ย่อมเป็นในทางตรงกันข้าม

 

นาทีนี้ “อัศวิน” แบกความคาดหวังของใครหลายๆคนไว้บนบ่าแล้ว