
“เจาะเส้นทางยึดทรัพย์ “ยิ่งลักษณ์”
ตอนนี้รอเพียงกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้เสียหาย ออกหนังสือคำสั่งให้ อดีตนายก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ชดใช้เงิน 35,717 ล้าน คดีรับจำนำข้าว
หลังจาก นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งได้เคาะตัวเลขให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้เงิน จำนวน 35,717 ล้านบาท อันเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้สร้างความเสียหายขึ้น ตอนนี้ก็รอเพียงกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้เสียหาย ออกหนังสือคำสั่งทางปกครองส่งไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ชดใช้เงินตามมติของคณะกรรมการดังกล่าว โดยในหนังสือจะให้เวลา 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือในการชดใช้เงิน หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวกระทรวงการคลังก็จะมีหนังสือเตือนอีกฉบับให้ชดใช้เงินภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือ
ทั้งนี้ การเรียกให้ชดใช้เงิน กระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 57 ที่ระบุว่า คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ผู้ใดชำระเงินถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มีการชำระโดยถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสืิอเตือนให้ผู้นั้นชำระภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือน เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน วิธีการยึด การอายัดและการขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปฏิบัติตามประกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม
คำถามคือว่า... การออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายในคดีจำนำข้าวโดยไม่มีการฟ้องต่อศาลก่อน เป็นการลัดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม หรือไม่... ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การใช้มาตรการบังคับทางปกครองมีการใช้มานานถึง 20 ปีแล้ว และที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นกว่าพันคดี จึงไม่ใช่เพิ่งนำมาใช้กับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นมาตรการที่กระทำได้ทันทีโดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล และจะตรงกันข้ามกับการฟ้องในคดีแพ่งตามปกติ คือ ในคดีแพ่งจะต้องฟ้องร้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดจึงจะสามารถยึดทรัพย์ได้ตามคำพิพากษา แต่ในคดีละเมิดทางปกครองที่ผู้รับผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐจะใช้อำนาจสั่งให้ชดใช้ได้ทันทีและยึดทรัพย์ได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย หากผู้ต้องชดใช้ไม่พอใจ ต้องไปฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่งที่ให้ชดใช้ค่าเสียหาย จะเห็นได้ว่าสุดท้ายเรื่องก็ไปที่ศาลอยู่ดี จึงไม่ใช่การลัดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และการบังคับทางปกครองไม่ต้องรอคำพิพากษาในคดีอาญาจำนำข้าว ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกฟ้องและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต่างจากการยื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย ที่ต้องรอผลการพิจารณาคดีอาญาเสียก่อน
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทางรอดจากการไม่ถูกบังคับคดี ก็คือ การยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองภายใน 90 วันนับแต่ได้รับหนังสือฉบับแรกจากกระทรวงการคลัง เพื่อให้ศาลปกครองสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลังที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้เงิน พร้อมกับการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าศาลปกครองจะพิจารณาคดีเสร็จสิ้น
แต่ศาลปกครองจะออกคำสั่งคุ้มครองทุเลาการบังคับคดีไว้ก่อนตามที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ร้องขอหรือไม่ ก็แล้วแต่ดุลพินิจของศาลว่า เมื่อไต่สวนคำร้องขอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว เห็นว่ามีเหตุสมควรแค่ไหน โดยศาลจะใช้เวลาไต่สวนประมาณ 1 เดือน ซึ่งหากศาลปกครองเห็นสมควร ให้ระงับการบังคับคดีไว้ก่อน กรมบังคับคดีก็จะชะลอการบังคับคดีเพื่อรอผลว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษาว่าอย่างไร และหากสุดท้าย ศาลปกครองมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลัง ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้เงิน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะไม่ถูกบังคับคดี แต่กระทรวงการคลังอาจอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไปได้
แต่ในทางตรงกันข้าม ในกรณีที่ศาลปกครองได้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระงับการบังคับคดีไว้ก่อนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือรับไว้แต่เพียงคำร้องให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง กรมบังคับคดีก็จะเข้าดำเนินการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ทันที เนื่องจากคำสั่งทางปกครองถือว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลบังคับทันทีเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดให้ไว้ (กรณีนี้ก็คือ 30 วัน+15 วัน ตามหนังสือฉบับแรกและฉบับที่สอง)
ส่วนสาเหตุที่ “กรมบังคับคดี” สามารถเข้าไปดำเนินการบังคับคดีให้ชดใช้เงินจากความเสียหายที่เกิดจากโครงการจำนำข้าวได้ ทั้งที่ปกติกรมบังคับคดี จะบังคับคดีได้ต้องมีคำพิพากษาของศาลออกมาก่อนว่าให้ผู้ใดชดใช้เงินเท่าไหร่ แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงจะบังคับคดีไปตามคำพิพากษานั้น ก็เนื่องจากหัวหน้า คสช.ได้ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ออกคำสั่งที่ 56/2559 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ให้กรมบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองเรียกค่าสินไหมทดแทนคดีจำนำข้าวได้
ทั้งนี้ ในการบังคับคดีทางปกครองในกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีเงินชดใช้ให้ตามคำสั่งของกระทรวงการคลังและแพ้คดีในศาลปกครอง ก็จะนำวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ กล่าวคือ เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องไปยึดทรัพย์ตามวัน เวลาปกติ คือ วันจันทร์-ศุกร์ ซึ่งเป็นวันทำการของราชการ และเข้าดำเนินการยึดทรัพย์ในช่วงเวลากลางวัน คือระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนพระอาทิตย์ตก เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินโดยได้รับอนุญาตจากศาล
ในการยึดทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำสำเนาคำสั่งทางปกครองทั้ง 2 ฉบับที่ให้ชดใช้เงิน, ใบประกาศยึดทรัพย์ ไปด้วย โดยเมื่อเดินทางไปถึงสถานที่ที่จะยึดทรัพย์ก็จะปิดประกาศแจ้งการยึดทรัพย์สินไว้ ณ ที่ยึด
กฎหมายยังให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีในการเข้าค้นสถานที่ใดๆ ที่เป็นของลูกหนี้หรือที่ลูกหนี้ครอบครองอยู่ เช่น บ้าน ที่อยู่อาศัย และมีอำนาจที่จะยึดทรัพย์สิน, เปิดตู้นิรภัย
สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินไว้กับ ป.ป.ช เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี โดยระบุว่ามีทรัพย์สินรวม 610.84 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้
1.เงินสด 14,298,120 บาท
2.บัญชีเงินฝาก ธนาคารกรุงเทพ 7 บัญชี, กสิกรไทย 4 บัญชี, ยูโอบี 3 บัญชี, บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต 2 บัญชี รวม 24,908,420 บาท
3.เงินลงทุน หลายแห่ง เช่น บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC), กองทุนเปิดแอสเซทพลัส ตราสารหนี้, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอน รวมจำนวนเงิน 115,531,804 บาท
4.เงินให้กู้ยืม 108,301,369 บาท
5.ที่ดิน 18 แปลง กระจายอยู่หลายจังหวัด ได้แก่ อ.สันกำแพง อ.เมือง จ. เชียงใหม่, อ.พาน จ.เชียงราย, อ.บางเสาธง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ, เขตบึงกุ่ม และเขตบางขุนเทียน กทม. รวมราคา 117,186,350 บาท
6.บ้านที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาศัยอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. ราคา 110 ล้านบาท, บ้าน 1 หลัง ในเขตบางขุนเทียน, ตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง ที่ ต.ช้างคลาน จ.เชียงใหม่, ห้องชุดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท และ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ รวมราคา (บ้าน-ตึกแถว-ห้องชุด) ทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 162,368,182 บาท
7.ยานพาหนะ รวมเป็นเงิน 21,990,000 บาท
8.สิทธิและสัมปทาน 569,189 บาท
9.ทรัพย์สินอื่น 45,ุ690,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายทรัพย์สินบางอย่างของลูกหนี้ ไม่สามารถยึดได้ ทั้งนี้ มาตรา 285 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไปนี้ ย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(1)เครื่องนุ่งห่มหลับนอน หรือเครื่องใช้ในครัวเรือนโดยประมาณรวมกันราคาไม่เกิน 5,000 บาท ในกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลจะกำหนดทรัพย์สินดังกล่าวที่มีราคาเกิน 5,000 บาท ให้เป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีก็ได้ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความจำเป็นตามฐานะของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
(2)เครื่องมือ หรือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพโดยประมาณรวมกันราคาไม่เกิน 10,000 บาท แต่ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษามีคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลขออนุญาตยึดหน่วงและใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้อันจำเป็นเพื่อดำเนินการเลี้ยงชีพ หรือการประกอบวิชาชีพอันมีราคาเกินกว่าจำนวนราคาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตภายในบังคับแห่งเงื่อนไขตามที่ศาลเห็นสมควร
(3)วัตถุ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำหน้าที่แทนหรือช่วยอวัยวะของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
(4)ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย หรือตามกฎหมายไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หลักสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีเงินหรือทรัพย์สินเพียงพอที่ชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมดเท่าที่ลูกหนี้มีอยู่ เพื่อนำออกขายทอดตลาด แล้วนำรายได้จากการขายทอดตลาดเข้ารัฐ และสามารถทำการยึดทรัพย์ได้ตลอดเมื่อทรัพย์สินของลูกหนี้โผล่มาจนกว่าจะได้ครบจำนวนหนี้ หากลูกหนี้่ทำการยักย้าย ถ่ายเท ทรัพย์สิน ก็จะมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งมีโทษทางอาญาถึงจำคุก
สำนักข่าวเนชั่น