
สจล.ยอมถอด‘วิมานพระอินทร์’ปลดกังขา‘บังเอิญ-ลอกเลียนแบบ’
สจล.ยอมถอด‘วิมานพระอินทร์’ปลดกังขา‘บังเอิญ-ลอกเลียนแบบ’
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คนไทยโดยเฉพาะวงการสถาปนิกเพิ่งได้ตื่นตาตื่นใจไปกับการเปิดตัว ตึกมหานคร ตึกสูงที่สุดในประเทศไทยย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตัวอาคารเป็นงานออกแบบสถาปัตยกรรมแนวใหม่รับกับความศิวิไลซ์ของสังคมเมืองได้อย่าลงตัว
แต่อีกฟากหนึ่งของเมืองกรุงนั้น วงการสถาปนิกไทยกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดในประเด็นร้อนฉ่าว่าด้วยโปรเจกท์ยักษ์ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) นั่นคือโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น่้ำเจ้าพระยา
อันที่จริงแล้ว แนวคิดของโครงการนี้ เกิดขึ้นตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสายหลักของประเทศให้เกิดทัศนียภาพสวยงาม ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าเพื่อการพักผ่อน การออกกำลังกาย การจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและนันทนาการ
อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างสัญลักษณ์แห่งใหม่ (Landmark) ให้แก่กรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกทม. เป็นเจ้าภาพดำเนินการภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
เริ่มแรกโครงการดูเหมือนจะไปได้สวย แต่เมื่อออกแบบมาแล้ว กลับมีส่วนที่ขัดแย้งกับแนวคิดพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในส่วนที่ว่าด้วยการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง และนั่นเป็นที่มาของการท้วงติงและลุกลามไปสู่การคัดค้านของสถาปนิกกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งนักวิชาการ และนักอนุรักษ์
สิ่งหนึ่งที่สถาปนิกฝ่ายคัดค้าน ซึ่งมีกลุ่มที่ชื่อว่า Friends of river อยู่ด้วย เห็นว่าโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่เป็นไปตามคอนเซ็ปต์โครงการ อย่างแรกคือ การสร้างถนน ซึ่ง กทม.ใช้คำว่าทางเลียบแม่น้ำนั้น จะส่งผลกระทบเสียหายต่อทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยา และที่สำคัญไม่เคารพประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่น่าตกใจและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงในวงการสถาปนิก คือ แบบของโครงการ ซึ่งว่าจ้างให้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เป็นผู้สำรวจและออกแบบในวงเงิน 120 ล้านบาทนั้น ไปละม้ายคล้ายคลึงกับโครงการของต่างประเทศ
ความเห็นจาก “ยศพล บุญสม” กลุ่ม Friends of river โพสต์ในเฟซบุ๊กแฟนเพจของ Friends of river เปรียบเทียบภาพพิพิธภัณฑ์กรุงเทพมหานคร หรือ “วิมานพระอินทร์” ที่ สจล.ออกแบบ กับภาพอาคารริมแม่น้ำมอสโก ในประเทศรัสเซีย ชื่อว่า “เดอะ คริสตัล ไอซ์แลนด์” ออกแบบโดย นอร์แมน ฟอสเตอร์ สถาปนิกชื่อดังชาวอังกฤษ โดยพยายามชี้ให้เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก พร้อมกับตั้งคำถามว่าเป็นการลอกผลงานหรือไม่
ตามด้วย “ดวงฤทธิ์ บุนนาค” สถาปนิกและนักออกแบบชื่อดัง ก็โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวเช่นกัน โดยระบุว่า “ดราม่าหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าค่าแบบ 120 ล้านของพวกเราที่จ่ายไปจ้างคนมาออกแบบโครงการทำลายแม่น้ำ 14 กม. สุดท้ายใช้โมเดลดาวน์โหลดฟรีมาใช้ แล้วบอกว่าออกแบบโดยมีแนวคิดลึกซึ้ง"
จนกลายเป็นปมร้อนถึง “วัชระ จงสุวัฒน์” ที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งถูกพาดพิง ต้องออกมาชี้แจงข้อสังเกตของสถาปนิกกลุ่มนี้ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ลอก และไม่เคยเห็นผลงานของสถาปนิกชื่อดังชาวอังกฤษรายนี้มาก่อน เพิ่งเห็นครั้งแรกเมื่อมีผู้นำภาพมาเปรียบเทียบเท่านั้น
วัชระ ย้ำว่า การออกแบบแลนด์มาร์คเจ้าพระยาได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมไทย คือเจดีย์ทรงจอมแหและเกล็ดพญานาค นอกจากนี้ ยังตั้งคำถามกลับว่า “ทำไมไม่คิดว่าฝรั่งลอกไทยบ้าง เพราะเจดีย์ก็เป็นสถาปัตยกรรมไทย อีกทั้งเป็นเพียงแนวความคิดเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งในอนาคตอาจมีการเปิดให้ประกวดแบบใหม่ก็ได้”
แต่สุดท้ายหลังจากสังคมกังขาอย่างมาก ทางทีมงานยอมถอดแบบ “วิมานพระอินทร์” ออกไป
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กันยายน รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน อธิการบดี สจล. ในฐานะผู้จัดการโครงการ พร้อมทีมงาน แถลงยืนยันว่าไม่ได้ลอกแบบของสถาปนิกคนใด และยังฝากไปยังผู้จุดประเด็นให้เกิดความสับสนว่า ต้องร่วมมือกันทำสิ่งที่ดีแก่ลูกหลาน ลดอคติและให้ความเคารพในความคิดซึ่งกันและกัน
“ยืนยันว่า สจล.และมข.ทำเพื่อชาติ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ขอยืนยันว่าไม่ได้ลอกเลียนแบบ” รศ.ดร.สกุล ระบุ
ขณะที่ ผศ.ดร.อันธิกา สวัสดิ์ศรี รองผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า ในแผนงานโครงการ มี “จุดหมายตา” มีจุดประสงค์เพื่อเป็นสถาปัตยกรรมที่บอกว่ากำลังเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานครแล้ว ซึ่งมี 4 จุด โดย “วิมานพระอินทร์” อยู่ในจุดที่อยู่ทางตอนเหนือ เน้นรูปแบบอาคารที่สื่อความเป็นไทยสมัยรัตนโกสินทร์ เพื่อให้เป็น “พิพิธภัณฑ์กรุงเทพมหานคร”
เขาระบุถึงแนวคิดที่มาว่า แนวคิดหลักมาจากนาคนาม ทางทิศเหนือเป็นเศียรนาค กลางเป็นท้องนาค ปลายเป็นหางนาค จึงคิดว่าจะทำอะไรให้เป็นจุดสำคัญ ซึ่งก็นึกถึงพระอินทร์ จากการศึกษามีทางเลือกหลายแบบ แต่ที่มียอดแหลมสูงสุดคือทรงจอมแห เป้าหมาย รูปทรง เข้ากับเนื้อหาทั้งหมด
“ความจริงแล้วจุดหมายตาวิมานพระอินทร์ มีทางเลือก 3 แบบ 2 แบบแรกเป็นหลังคาซ้อนชั้นแบบไทย แต่รูปร่างที่ดินโค้ง พอทำเสาเหลี่ยมจะไม่ค่อยเอื้อกับพื้นที่ จึงใช้รูปทรงกรวยที่มองเห็นรอบด้าน เลยเป็นทรงจอมแหอย่างที่เห็น โดยเป็นเพียงร่างเท่านั้น”
ผศ.ดร.อันธิกา สำทับอีกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะลอกแบบ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนนำวิมานพระอินทร์ไปเทียบว่าคล้ายกับงานที่มักกะสันมาแล้ว ว่าใครลอกใคร แต่ยังเงียบ กระทั่งเป็นข่าวคือที่รัสเซีย ซึ่งยืนยันว่าเห็นพร้อมกับโซเชียลว่าคล้ายกันมาก จนเกิดเป็นประเด็นว่าลอก จริงๆ แล้วมีที่มาต่างกัน แต่โดยเทคนิคเป็นไปได้ว่าทำให้เกิดการคล้ายคลึงจนเข้าใจคลาดเคลื่อน
“แต่แบบดังกล่าวเป็นข้อกังขาของสังคม แม้ว่าจะบอกเหตุผลอย่างไรก็ยังถูกมองว่าเหมือน ดังนั้นเมื่อมีความไม่สบายใจ คงไม่ดื้อดึง จึงยินดีที่จะไม่บรรจุแบบวิมานพระอินทร์ในรายงาน โดยจะไม่เลื่อนกำหนดส่งรายงานในช่วงปลายเดือนกันยายน ยังคงส่งตามกำหนดเดิม อย่างไรก็ตามขออภัยที่ทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน และอยากขอโทษประชาชน ที่มีคนไม่สบายใจว่า สถาบันการศึกษาไปลอกงานผู้อื่น”
เขายังทิ้งท้ายว่า ขึ้นอยู่กับว่าแผนจะยอมรับให้มีจุดหมายตาหรือไม่ ถ้าให้มี ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่คือออกแบบใหม่ ซึ่งควรให้มีการประกวดแบบ สำหรับจุดหมายตาอื่นอีก 3 จุดที่เหลือจะขอประชุมก่อนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
เมื่อสำเร็จเป็นรูปธรรมเสียงที่ค้านจะเปลี่ยนไป
นอกจากกระแสปมร้อนเรื่องงานออกแบบ “วิมานพระอินทร์” แล้ว โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ยังเดินหน้าไปท่ามกลางเสียงท้วงติงคัดค้านอีกหลายประการ และ กทม.ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป โดยได้จัดประชุมเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 ที่หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อ 9 กันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งสุดท้ายของโครงการสำรวจ ออกแบบ และจัดทำแผนแม่บท ก่อนส่งมอบงานในวันที่ 26 กันยายนนี้
ซึ่งช่วงหนึ่งมีการแสดงความคิดเห็นระหว่าง “ยศพล บุญสม” กลุ่ม Friends of river กับ “ผศ.ดร.อันธิกา สวัสดิ์ศรี” รองผู้จัดการและโฆษกโครงการ
ยศพล ย้ำประเด็นว่า โครงการนี้ขาดความน่าเชื่อถือในกระบวนการทำงาน การใช้เวลาศึกษาเพียง 5 เดือน ซึ่งความจริงแล้วต้องศึกษาทางเลือกของการพัฒนา และนำมาศึกษาความเป็นไปได้ รวมถึงความคุ้มค่า ไม่ใช่มีธงอยู่แล้ว ส่วนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้สนใจกระบวนการศึกษาผลกระทบระหว่างการก่อสร้าง เป็นเพียงการศึกษาเพื่อสรุปว่าสามารถสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาได้เท่านั้น
“นักท่องเที่ยวต่างชาติ พอเห็นโครงการนี้ เขาบอกว่าเป็นการทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนดิสนีย์แลนด์ เป็นการทำลายรากของเราทั้งหมด จึงไม่สามารถนำไปสู่การกล่าวอ้างว่า รักษามรดกชาติ และมรดกโลกได้เลย ในการศึกษาต้องดูทางเลือกของการพัฒนา ไม่ได้ใช่เรื่องความแคบกว้างของทางเดิน ต้องเอาทางเลือกมาศึกษาความเป็นไปได้ กทม.และรัฐบาลไม่ควรรับงานที่ขาดความน่าเชื่อ ไม่รอบด้าน มิฉะนั้นอาจเกิดความแตกแยก” ยศพล ระบุ
ด้าน ผศ.ดร.อันธิกา ชี้แจงว่า ความจริงแล้วโครงการนี้มีแผนงานถึง 12 แผน ไม่ใช่แค่ทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น การพัฒนาชุมชน แต่ทางเลียบฯ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด นอกจากนี้ รูปแบบที่นำเสนอก็มีความชัดเจนว่าโครงสร้างทางวิศวกรรม และอื่นๆ ไม่ได้ทำขึ้นสำหรับเป็นถนน แต่สร้างเพื่อให้คนเดินและปั่นจักรยานเท่านั้น
“พื้นที่เหล่านี้ขาดการเชื่อมต่อมานาน ทางที่ดีที่สุด และประหยัดที่สุด คือเชื่อมต่อด้วยทางเดิน ไม่ควรเข้าถึงได้แค่ทางเรืออย่างเดียว เนื่องจากระบบการขึ้นลงเรือไม่เอื้อต่อคนพิการ นี่คือเงินภาษีของคนทุกคน จึงต้องทำให้คนเข้าถึงอย่างเท่าเทียม” ผศ.ดร.อันธิกา ชี้แจง
กระนั้น ยศพล ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กต่อมาเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นคนกลางเปิดเวทีสาธารณะให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีโอกาสสอบถามและชี้แจงข้อสงสัยให้กระจ่างอีกครั้งก่อนเดินหน้าโครงการต่อไป
"ถ้ารัฐมั่นใจว่าแบบของโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาดีจริง ควรเปิด “เวทีสาธารณะ” ให้ฝ่ายโครงการได้ชี้แจงกับ "ผู้เห็นต่าง” ที่อาจจะไม่ทราบข้อมูลทั้งหมด โดยเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายสหวิชาชีพมาให้ความกระจ่าง ดีกว่าการให้ข้อมูลฝ่ายเดียว"
แต่ดูประหนึ่งว่าเสียงเรียกร้องจากฟากเห็นต่างไปไม่ถึงทีมพัฒนาโครงการ เพราะเมื่อ 12 กันยายนที่ผ่านมา นพ.พีระพงษ์ สายเชื้อ ปลัดกทม. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทัย ผู้จัดการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมคณะ ได้ไปที่ท่าเรือหอประชุมกองทัพเรือ เพื่อลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ตรวจพื้นที่โครงการ พร้อมร่วมเสวนา “เจ้าพระยาเพื่อทุกคน...อนุรักษ์สืบสานสร้างสรรค์”
“แม้ว่ายังมีประชาชนบางส่วนที่รับข้อมูลไม่ถูกต้อง แต่เราควรสื่อให้คนทั่วโลกเข้าใจว่าแม่น้ำเจ้าพระยาและแนวทางการพัฒนานั้นเป็นอย่างไร และจากที่ได้ไปเห็นโครงการลักษณะนี้ที่ต่างประเทศ ยืนยันว่าโครงการนี้เป็นโครงการระดับโลก ซึ่งเมื่อสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วเสียงต่างๆ ที่ค้านก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะได้เริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 ซึ่งคาดว่าเฟสแรกของโครงการจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี 2561” ปลัดกทม.ระบุ
หากโฟกัสคำพูดของ ปลัดกทม. ก็คงสะท้อนได้ว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเห็นต่าง จะมีพลังพอจะทัดทานได้มากน้อยแค่ไหน?
สำหรับแผนแม่บทพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะนำร่อง 14 กิโลเมตร เริ่มจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ประกอบด้วย 12 แผนย่อย ดังนี้ 1.แผนจัดทำทางเดินและทางจักรยานริมแม่น้ำกว้าง 7-10 เมตร 2.แผนงานโครงการพัฒนาพื้นที่ชุมชนตามกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรมสืบสานวิถีชีวิตของชุมชน 3.แผนงานพัฒนาจุดหมายตาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้สถาปัตยกรรม “จอมแห” พัฒนาสถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ 4.แผนพัฒนาท่าเรือเป็นจุดเชื่อมต่อการสัญจรทางน้ำ 5.แผนพัฒนาเส้นทางการเข้าถึงพื้นที่ ปรับปรุงตรอกซอย เพื่อเชื่อมต่อและเข้าถึงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 6.แผนปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อนกันน้ำท่วมเดิมให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม 7.แผนพัฒนาศาลาท่าน้ำเพื่อเป็นจุดพักผ่อน 8.แผนจัดทำพื้นที่บริการสาธารณะรองรับการใช้ประโยชน์สาธารณะตลอดระยะ 9.แผนพัฒนาพื้นที่ศาสนสถาน ออกแบบโดยพัฒนาภูมิทัศน์คำนึงถึงคุณค่า และเคารพต่อศาสนสถาน
10.แผนพัฒนาพื้นที่แนวคูคลองประวัติศาสตร์ สะท้อนเรื่องราวการตั้งถิ่นฐานของบางกอกในอดีตและความเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน 11.แผนพัฒนาพื้นที่นันทนาการและสวนสาธารณะริมน้ำใช้พื้นที่ว่างรองรับกิจกรรมนันทนาการลานกีฬาและสวนสาธารณะของประชาชน และ 12.แผนจัดทำสะพานคนเดินข้ามโดยสร้างใหม่ 2 จุด พร้อมปรับปรุงทางเดินเท้าและทางจักรยานบนสะพานเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปลอดภัย