ปฏิรูป‘การเลือกตั้ง’รับประกัน‘รปห.’ไม่เสียของ
ปฏิรูป‘การเลือกตั้ง’รับประกัน‘รปห.’ไม่เสียของ : ขยายปมร้อน โดย ขนิษฐา เทพจร สำนักข่าวเนชั่น
กับประเด็นร้อนของข้อเสนอที่ต้องการปรับกระบวนการจัดการเลือกตั้ง ที่บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องยกมานำเสนอ มุ่งไปที่หัวใจคือการเลือกตั้งส.ส. ครั้งแรกหลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้ ให้มีความสุจริต เที่ยงธรรม และไร้กลโกง
เหมือนเป็นหอกที่พุ่งเข้าใส่กลางอกของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” อย่างจัง
เพราะในบรรดาข้อเสนอ ทั้ง สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง ที่ต้องการผ่องถ่ายหน้าที่ จัดหรือดำเนินการเลือกตั้งไปยังส่วนราชการอื่นนั้นผูกโยงเข้ากับความไร้ประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานของกกต. ต่อการทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งที่โปร่งใส ไม่โกง
ซึ่งประเด็นความไร้ประสิทธิภาพในการกำกับการเลือกตั้ง ตามรายละเอียดที่ “สปท.ด้านการเมือง” เสนอนั้น ดูเหมือนว่าจะได้รับความเห็นในทำนองเดียวกันกับ “มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ในฐานะคณะทำงานที่มีหน้าที่ยกร่างพระราชบัญญัติประกอบร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องใช้ในการเลือกตั้ง โดยเสียงที่ “มีชัย” ขานรับออกมาถูกไฮไลท์ไปที่การปฏิรูปการทำงานของ กกต. ในเชิงรุก มากกว่าการตั้งรับเหมือนที่ผ่านมา
“ตามแนวทางของร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา คือ กำหนดให้ กกต. ควบคุมการเลือกตั้ง ส่วนการปฏิบัติการนั้นได้เปิดช่องให้ กกต. สามารถมอบหมายให้หน่วยงานอื่นช่วยเหลือได้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า กกต. ทำเองทั้งหมด ซึ่งต้องพิจารณาว่าถูกหรือไม่ เพราะกกต.เป็นผู้ออกข้อกำหนดเอง และจัดการเลือกตั้งเองทั้งหมด ทำให้การเลือกตั้งที่ผ่านมามีปัญหา และกกต.เสียรังวัดมาแล้ว ดังนั้นในแนวทางที่ กรธ.คิด และจดบันทึกเอาไว้คือ ทำอย่างไรเพื่อให้ กกต. ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่มานั่งรอเรื่องร้องเรียน ซึ่งสิ่งที่เราคิดคือ กกต. ต้องสอดส่ายหูตาว่าใครทำอะไรที่ไหน หากเจอความไม่ถูกต้อง สามารถจัดการได้ทันที”
สำหรับรูปแบบการปฏิรูปการทำงานของ กกต. นั้น “ประธาน กรธ.” เกริ่นไว้ว่า คณะทำงานศึกษาโมเดลเลือกตั้งประเทศอินเดีย ที่พบว่ามีผู้ควบคุมการเลือกตั้ง 1 คน และมีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเลือกตั้งประมาณ 100 คน ช่วยในกระบวนการเลือกตั้งทั่วประเทศที่มีประชากรราวพันล้านคน
นั่นหมายถึงการคิดวิธีที่ได้ผลที่สุด สำหรับการจัดการเลือกตั้งทุกระดับอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้เจ้าหน้าที่รัฐที่จำนวนน้อยสุด
ขณะเดียวกันผู้ที่ได้ศึกษาประเด็นนี้ อย่าง “พล.อ.นคร สุขประเสริฐ สมาชิกสปท. ฐานะอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ได้ยกโมเดล กจต. หรือ คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นข้อเสนอส่วนหนึ่งของการทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มานำเสนอ พร้อมอธิบายรายละเอียดว่า ต้องเขียนในร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต. เปิดช่องให้ กกต. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐหรือแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง เป็นครั้งคราว ซึ่ง กจต. นั้นจะประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงศึกษาธิการ, ทหาร เป็นต้น และเพื่อให้การทำงานของ กจต.โปร่งใส ควรกำหนดบทลงโทษทางวินัยสำหรับ กจต. ที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม
โดยสาระว่าด้วย “กจต.” นั้น คือแนวทางที่ปฏิเสธการมีอยู่ของ กกต.จังหวัด ซึ่งหากจะยกเลิกจริง อาจถูกกระแสคัดค้านเป็นจำนวนมาก
แม้สาระของเรื่องราวจะถูกพุ่งเป้าไปยังการปรับประสิทธิภาพการจัดการเลือกตั้ง หรือปรับระบบทำงานที่วางเป้าหมายให้ขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ แต่ภาพเบื้องหลังนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนัยที่ซ่อนถึงการวางกลไกแห่งอำนาจเพื่อควบคุมฝ่ายการเมือง–นักเลือกตั้ง
เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่สร้างหลักประกัน ไม่ให้การรัฐประหาร โดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น เสียของ โดยเฉพาะประเด็นของการปฏิรูประบบเลือกตั้งของฝ่ายการเมือง
อย่างไรก็ดี หากเป้าหมายของข้อเสนอต่างๆ ที่ต้องการให้การเลือกตั้งส.ส. การได้มาซึ่ง ส.ว. รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงการทำประชามติตามอำนาจของ “กกต.” มีความโปร่งใส ยุติธรรม และปราบโกงได้จริง สิ่งที่สามารถช่วยได้จริง คือ การเปิดพื้นที่ ให้ “ประชาชน” ทุกภาคส่วนมีบทบาทร่วมในการดำเนินการของกระบวนการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตย
หากจะเทียบเคียงกับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีความไม่โปร่งใสในกระบวนการออกเสียง ทำให้ภาคประชาชน ทั้งในนามกลุ่มการเมืองในส่วนพรรคการเมือง, กลุ่มการเมืองภาคประชาชน, กลุ่มเอ็นจีโอ และกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ ระดมกำลังจับตากระบวนการออกเสียง ทำให้ข้อครหาที่ว่าจะมีความไม่โปร่งใสนั้น ไม่เกิดขึ้นจริง และผลประชามติที่เกิดขึ้น ได้เสียงยอมรับจากคนวงกว้าง