คอลัมนิสต์

กระท่อม-กัญชา

กระท่อม-กัญชา

05 ก.ย. 2559

กระท่อม-กัญชา : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา

           อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่ากำลังจะพูดถึงเพลง "กระท่อมกัญชา" ของวงมาลีฮวนน่า ที่ขับร้องโดยอาจารย์ไข่ คฑาวุธ ทองไทย แต่ผมกำลังจะพูดถึงสองพืชสมุนไพรเจ้าปัญหา คือ กระท่อม กับกัญชา ที่ตอนนี้มีกระแสเรียกร้องแรงขึ้นทุกวันว่า ให้ถอดพืชทั้งสองชนิดออกจากบัญชียาเสพติดของไทย ข่าวล่าสุด ระบุว่า รัฐบาลมีแนวคิดถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดเป็นยาควบคุมโดยแพทย์ เพราะมีหลักฐานงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า สารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคมะเร็งได้

            คอกัญชาและ “กัญชาชน” ทั้งหลาย ได้ฟังข่าวนี้แล้วอย่าเพิ่งเฮแล้วไปฉลองด้วยการจัดปาร์ตี้กัญชานะครับ เพราะนี่เป็นเพียงกระแสข่าวความเคลื่อนไหว ที่ต้องรอขั้นตอนทางกฎหมายอีกหลายขั้น ที่สำคัญก็คือ เท่าที่ทราบมาคร่าวๆ รัฐบาลไม่ได้ประกาศนโยบาย “กัญชาเสรี” หรือให้มีการเสพ จำหน่ายสมุนไพรชนิดนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ตามที่ชาวกัญชาชนใฝ่ฝันมานานแสนนาน สิ่งที่ทำได้อย่างหรูที่สุด คือ ให้เป็นยาที่ควบคุมโดยแพทย์ ถ้าแพทย์ไม่เขียนใบสั่งให้ ก็ไม่สามารถเสพได้อยู่ดี

            ส่วนกระท่อมก็เป็นพืชสมุนไพรดั้งเดิมอีกชนิดหนึ่ง ที่กลายเป็นสิ่งเสพติดต้องห้ามตามกฎหมายไทย ทั้งที่ในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซียมีการปลูกอย่างเสรี เสมือนพืชสวนชนิดหนึ่ง แถมส่งมาขายในเมืองไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำรายได้มากกว่ายางพาราและน้ำมันปาล์มเสียอีก ตอนนี้บรรดา “กระท่อมชน” ก็คงรอคอยความหวังให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับกระท่อมอย่างใจจดจ่อไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นคอ “น้ำท่อม” แถวภาคใต้ของผม

            พูดถึงขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อกัญชาเสรี (ฟังดูเหมือนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิอะไรสักอย่าง) ในบ้านเรา ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นพัฒนาการและกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ผมอยากเรียกมันว่า นี่คือกระบวนการต่อรองที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในบ้านเรา พูดให้มีสำเนียงแบบนักวิชาการก็ต้องว่า เป็นการ “ตอบโต้ทางวาทกรรม” เลยทีเดียว ระหว่างวาทกรรม “กัญชา /กระท่อมคือยาเสพติด” กับวาทกรรม "กระท่อม/กัญชาคือยาสมุนไพร"  ที่มันน่าสนใจก็คือ ทั้งสองวาทกรรมนี้ มันคือ "วาทกรรมการแพทย์"  แล้วกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้อง ตอบโต้ ก็คือบุคลากรในวงการแพทย์นั่นเอง หาใช่บุคลากรที่ดูแลด้านกฎหมายแต่อย่างใด เมื่อเป็นการต่อสู้ของคนในวงการแพทย์ กลยุทธ์ที่นำมาใช้มันจึงเป็นเรื่องของ “องค์ความรู้” ล้วนๆ เริ่มจากการอ้างถึงงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของบรรดานักวิชาการทางการแพทย์ในประเทศยักษ์ใหญ่ ที่ระบุว่า สารบางชนิดในกัญชาและกระท่อมสามารถนำมารักษาโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ ได้

            นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อกันว่า “ความรู้คืออำนาจ” ดังนั้นหากใครจะล้มล้างวาทกรรมใดๆ ก็ต้องสร้างวาทกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ และวาทกรรมใหม่นั้น จะต้องได้รับรองสนับสนุนค้ำจุนจาก “ความรู้” ที่มีสถาบันใดสถาบันหนึ่งออกมารับรอง

            ในอดีตก็คนในวงการแพทย์อีกนั่นแหละ ที่สร้างวาทกรรมว่า กระท่อมและกัญชาคือยาเสพติด พร้อมกับอ้างงานวิจัยจำนวนมากว่า สารบางชนิดในพืชสองชนิดมันส่งผลร้ายต่อสุขภาพและระบบประสาทของเราอย่างไร พอแพทย์บอกเช่นนี้เราก็เชื่อ ทางฝ่ายกฎหมายก็ออกมาขานรับด้วยการตรากฎหมายขึ้นมาใช้บังคับ ควบคุมและจัดการกับคนที่เข้าไปแตะต้องกับพืชพวกนี้ จนกลายเป็นของต้องห้ามในสังคม วาทกรรมนี้มันเลยแช่แข็ง “กัญชาและกระท่อม” ให้กลายเป็นพืชที่น่ารังเกียจ และผิดกฎหมายไปโดยปริยาย

            แต่พอมาถึงตอนนี้ วงการแพทย์ก็สร้าง “วาทกรรมกระท่อม กัญชาคือยาสมุนไพร” ขึ้นมาตอบโต้ พร้อมอ้างผลการวิจัยและองค์ความรู้ชุดใหม่ขึ้นมาแทน และก็ทำท่าจะได้ผลเสียด้วย ก็อย่างที่อีตาฟูโกต์เจ้าพ่อแห่งทฤษฎีวาทกรรมว่าไว้นั่นแหละ “วาทกรรมเป็นสิ่งที่เลื่อนไหล และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตามบริบทของยุคสมัย” เราจะเห็นกระบวนการปรับเปลี่ยนวาทกรรมที่เกิดขึ้นและไหลเวียนอยู่ในสังคมของเราเสมอมา

            หากทางรัฐบาลถึงขั้นออกมาให้ข่าว และเริ่มต้นปรับเปลี่ยนกฎหมายที่ว่าด้วยยาเสพติด นั่นแสดงว่า แนวคิดและการให้ความหมายเกี่ยวกับพืชพรรณต้องห้ามทั้งสองชนิดนี้ในสังคมไทยเริ่มเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน แต่ต้องย้ำอีกทีกับพวก “กัญชาชน” และ “กระท่อมชน” ที่รักและหลงใหล ในมนต์เสน่ห์ของกระท่อมและกัญชาว่า อย่าเพิ่งกระดี๊กระด้าให้เกินเหตุ ถึงขั้นทำแปลงปลูกกัญชาและกระท่อมกันอย่างเสรี หรือซื้อขายมาเสพกันอย่างโจ่งแจ้ง เพราะตอนนี้อะไรๆ ก็ยังไม่ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่ามันจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ เพราะอย่างน้อยรัฐบาลก็แย้มๆ ว่า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นพืชที่ถูกควบคุมโดยแพทย์อยู่ดี หาใช่บอกว่าให้ผลิต ให้เสพ และขายกันได้อย่างเสรีแต่อย่างใด

            ยังไงๆ ก็สงวนท่าทีเอาไว้บ้างนะครับ