คอลัมนิสต์

'สิทธิที่จะตาย'ในบริบทกฎหมายไทย

'สิทธิที่จะตาย'ในบริบทกฎหมายไทย

29 ส.ค. 2559

'สิทธิที่จะตาย'ในบริบทกฎหมายไทย : ฎหมายกับสังคม โดยสุรินรัตน์ แก้วทอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

เมื่อกล่าวถึง “สิทธิที่จะตาย” หรือ “Right to die” ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยคุ้นเคยและสงสัยว่ามันคืออะไร ทำไมกฎหมายจึงกำหนดสิทธิทำนองนี้ขึ้นมา เพราะโดยปกติธรรมดามนุษย์ทุกคนย่อมหวงแหนชีวิตของตัวเอง อยากจะมีชีวิตให้ยืนยาวที่สุด อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งสำหรับใครบางคน การเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองอาจจะดีกว่าการอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ความทุกข์ทรมานในที่นี่ไม่ใช่ความทุกข์ทรมานทางจิตใจจากการผิดหวังหรือความสูญเสีย แต่เป็นความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกายจากโรคร้าย ซึ่งกัดกร่อนการใช้ชีวิตประจำวันจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข ด้วยเหตุนี้ ในหลายประเทศจึงมีการออกกฎหมายให้สิทธิในการทำการุณยฆาตเพื่อที่จะระงับความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายแก่ผู้ประสบภาวะเช่นว่านั้น ตัวอย่างเช่น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ประชาชนทั้งคนชาติสวิสเองและชาวต่างชาติ ให้สามารถเลือกที่จะจบชีวิตตนเองด้วยการกระทำการุณยฆาตได้ ทั้งนี้ กฎหมายนี้ตราขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 และที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากหลายประเทศเดินทางไปรับการทำการุณยฆาตเป็นจำนวนมากพอสมควร โดยมีองค์กรหลักชื่อ Dignitas ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร จัดตั้งโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำการุณยฆาตดังกล่าว จากสถิติในปี 2008 มีผู้เข้าใช้บริการประมาณ 840 คน ร้อยละ 60 เป็นคนสัญชาติเยอรมัน และมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2015 มีผู้ป่วยจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตเดินทางไปรับการการุณยฆาต ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กว่า 300 คน ทำให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้รับสมญานามว่า suicide tourism สำหรับคนที่เป็นโรคร้ายแรงที่ต้องการจบชีวิตตัวเองลงอย่างสงบและไม่ทุกข์ทรมาน

อย่างไรก็ตาม กฎหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็มิได้อนุญาตให้ทำการุณยฆาตได้โดยง่าย หากเป็นการช่วยเหลือ จูงใจ หรือชักจูงให้บุคคลใดฆ่าตัวตายโดยไม่มีเหตุสมควรตามกฎหมายก็ย่อมจะมีความผิดตามกฎหมายอาญา การกระทำการุณยฆาตต้องมีรายงานทางการแพทย์และต้องทำกับองค์กรหลัก คือ Dignitas ซึ่งมีกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยต้องการจะจบชีวิตตนเองด้วยความสมัครใจโดยแท้ และในขณะเดียวกันจะมีการตรวจสอบในทุกขั้นตอนว่าผู้ป่วยยังต้องการจะจบชีวิตตนเองหรือไม่ โดยที่ผู้ป่วยสามารถหยุดกระบวนการดังกล่าวได้เสมอ และจะต้องมีการบันทึกคลิปวิดีโอสั้นๆ เพื่อยืนยันความสมัครใจในการทำการุณยฆาตประกอบด้วย นอกจากนี้ ในบางประเทศจะต้องได้รับความเห็นจากศาลเพื่อประกอบในการช่วยเหลือให้แก่บุคคลในการุณยฆาต สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนั้น มีอัตราไม่สูงมากนัก ประมาณครั้งละ 200,000–300,000 บาท ซึ่งครอบคลุมการจัดการศพและค่าดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับศพในกรณีไม่มีญาติด้วย

สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่ปรากฏหลักกฎหมายที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างชัดเจน และในประมวลกฎหมายอาญาก็กำหนดความผิดในเรื่องการช่วยเหลือหรือยุยงให้บุคคลอื่นฆ่าตนเอง โดยมาตรา 293 กำหนดว่า หากเป็นการช่วยเหลือหรือยุยงเด็กอายุไม่เกิน 16 ปี หรือบุคคลที่ไม่สามารถเข้าใจว่าการกระทําของตนมีสภาพหรือสาระสําคัญอย่างไร หรือไม่สามารถบังคับการกระทําของตนได้ ให้ฆ่าตนเอง ถ้าการฆ่าตนเองนั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ผู้ที่ให้การช่วยเหลือหรือยุยงนั้นจะต้องรับโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาที่มีอัตราโทษค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม กฎหมายไทยยังยอมรับสิทธิของบุคคลที่เลือกจบชีวิตได้หากเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ดังปรากฏอยู่ในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 แต่ก็ทำได้ในกรณีที่จำกัดมากและต้องมีลักษณะเป็นการยุติการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของตน ตามเจตจำนงของผู้ป่วย มากกว่าจะเป็นการกระทำเพื่อยุติชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง

กล่าวโดยภาพรวมแล้ว กฎหมายของประเทศไทยยังจำกัดสิทธิในการทำการุณยฆาตอยู่มากเมื่อเทียบกับกฎหมายของหลายประเทศที่มีแนวความคิดว่า สิทธิในชีวิตควรเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะกำหนดทางเลือกชีวิตของตนเอง ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าในอนาคตประเด็นนี้จะทวีความสำคัญมากขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ดังนั้น การรับรู้ความเป็นไปในทางกฎหมายของประเทศอื่นๆ บ้างก็อาจเป็นแนวทางสำหรับการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นได้ในอนาคต