
เปิดใจสุดช้ำเสียแม่ในวันแม่แห่งชาติ
เปิดใจสุดช้ำเสียแม่ในวันแม่แห่งชาติ : เรื่องโดย สุพิชฌาย์ รัตนะ ภาพโดยนครินทร์ ชินวรโกมล
"แม่อย่าได้ห่วง เราสองคนพี่น้องอยู่ได้ หลับให้สบายน่ะ” ถ้อยคำสั่นเครือที่พร่ำบอกผู้เป็นแม่ขณะจุดธูปหน้าศพของสองพี่น้องที่ต้องสูญเสียแม่ในวันแม่แห่งชาติ
ณ ศาลา 1 วัดโพธิ์นิมิต อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พวงหรีดดอกไม้แสดงความเสียใจจากบุคคลสำคัญของประเทศ ระบุชื่อทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รองนายกรัฐมนตรี, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, สุเทพ เทือกสุบรรณ และอีกจำนวนมากที่ถูกลำเลียงมาตั้งไว้ในงานบำเพ็ญกุศลศพ “จงกลณี พุ่มกระจ่าง” อายุ 51 ปี ผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ระเบิดที่บริเวณด้านหน้าสถานีตำรวจน้ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ
โดยมี "อัจจิมา แสนยากร” และ “กัมปนาท แสนยากร” สองพี่น้องรับหน้าที่ดูแลงาน และต้อนรับบุคคลแปลกหน้าที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจอได้อย่างเข้มแข็ง ในฐานะลูกที่ขอทำหน้าที่เพื่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย
“6 โมงเช้าทุกวันแม่จะโทรมาปลูกให้ตื่นไปทำงาน เสียงบ่นและคำสั่งการของแม่เป็นเหมือนนาฬิกาปลุกที่มีชีวิต เช่นเดียวกับเช้าวันที่ 12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ เสียงที่ได้ยินกลายเป็นเสียงสุดท้ายที่ต้องจดจำ” อัจจิมา กล่าวพร้อมปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอย่างไม่มีวี่แววจะหยุดไหลจากดวงตาที่บวมเปล่งอันบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญแสนสาหัส
วันแม่แห่งชาติปีนี้เธอและน้องชายในวัย 22 ปี ต้องสูญเสียแม่โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ความจริงแล้วเย็นวันนี้มีแผนที่จะกินข้าวร่วมกันในวันแม่แห่งชาติ วันที่แม่และลูกรวม 3 คน จะได้อยู่พร้อมหน้าที่บ้าน เพื่อทำกับข้าวกินกันตามประสา ได้พูดคุยได้หยอกล้อกันในวันสำคัญที่หนึ่งปีมักจะทำกันประจำเหมือนเป็นกิจกรรมพิเศษในวันแม่แห่งชาติ
แม้ครอบครัวนี้จะไม่ได้ออกไปฉลองอย่างคนอื่นๆ แต่กิจกรรมที่ทำพร้อมหน้าคือสิ่งที่ดีที่สุดในมุมของครอบครัวพอเพียง เพราะด้วยวิถีชีวิตการทำงานของคนในครอบครัวนี้เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างมีหน้าที่ในการทำมาหากิน
ผู้เป็นแม่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสาม เพื่อไปทำงานกวาดถนนตามหน้าที่รับผิดชอบในตำแหน่งพนักงานเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี ขณะที่ลูกอีก 2 คน ทุกวันเวลา 8 โมงเช้าต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวในตัวเมือง การพบหน้ากันจึงเป็นช่วงเย็นและค่ำ แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยทำให้เมื่อถึงบ้านก็ต่างคนต่างพักผ่อน กิจกรรมร่วมกันจึงน้อย แต่สิ่งที่ไม่น้อยไปตามเวลาเรากลับมีกันและกัน คุยกันสนิทกันเหมือนเพื่อนเมื่อยามมีปัญหาเราจะรวมกันเป็นหนึ่งคุยกันทุกเรื่อง
การสูญเสียแม่ไปในวันแม่แห่งชาติความเจ็บปวดนี้เพิ่มทวีคูณ เมื่อมีผู้ถามถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เข้าใจในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเลี่ยงได้
“อัจจิมา” บอกสั้นๆ ถึงเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายในเช้าวันแม่ ขณะที่จะออกไปทำงานเวลาประมาณ 8 โมง ได้โทรหาแม่ เพื่อจะถามถึงเส้นทางที่อาจมีการปิดการจราจรในบางสายเพื่อจัดกิจกรรมวันสำคัญ แต่ปลายสายกลับไร้การตอบรับ ทำให้แปลกใจ เพราะไม่ค่อยมีที่แม่จะไม่รับสายลูก กระทั่งหมายเลขโทรศัพท์ของป้าโทรเข้ามาบอกข่าวร้ายที่ทำให้ช็อกและทรุดกับชะตาที่ไม่คาดคิด
“ทันทีที่เห็นสภาพแม่ภายในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จากที่ร้องไห้เพราะห่วงแม่และอยากเห็นแม่กับตาตัวเองจนเมื่อได้เห็นเหมือนโลกหยุดหมุน น้ำตาหยุดไหลริน บอกตัวเองในใจให้แม่ไปเถอะและบอกหมอไม่ต้องรั้งไว้”
เธอหยุดเล่าเพื่อตั้งสติอีกครั้งที่หวนนึกถึงเรื่องราว ก่อนจะเล่าต่ออีกว่า ปกติแม่เป็นคนที่กลัวเลือดมาก แต่สภาพที่แม่เจอคือเลือดท่วมตัวและขาแม่ไม่มีแล้ว ทำให้เชื่อได้เลยว่า หากแม่อยู่..แม่คงเจ็บและกลัวมาก ในฐานะลูกที่เห็นสภาพก็รู้ได้ทันที แม่คงไม่อยากอยู่แล้วแน่
นี่คือเรื่องราวของลูกสาวในวัย 25 ปี ที่สูญเสียแม่ไปในวันแม่แห่งชาติ และวันนี้ต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักดูแลน้องชายต่อจากผู้เป็นแม่ เพื่อก้าวเดินต่อไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง และขอแม่อย่าได้ห่วง เพราะว่าลูกแม่ทั้งสองคนจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นคนดีอยู่ในสังคมนี้ต่อไป แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยความบอบช้ำก็ตาม