
อย่าใส่ใจพวก'ชักใบให้เรือเสีย'
อย่าใส่ใจพวก'ชักใบให้เรือเสีย' : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 12 สิงหาคม 2559
หลังรับทราบผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงอย่างเป็นทางการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงมากถึงกว่าร้อยละ 61 และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานให้ทุกอย่างสำเร็จลงได้ด้วยดี นายกรัฐมนตรีกล่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจตอนหนึ่งว่า “ขอให้เราทั้งหลายทิ้งความเห็นต่าง ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ หรือรับไม่รับ ไว้ในหีบลงคะแนน แล้วร่วมกันก้าวต่อไปข้างหน้า ภารกิจที่รอเราอยู่ยังมีอีกมากและอาจยากลำบากกว่าที่ผ่านมา นั่นคือการสร้างความเจริญรุ่งเรือง การปฏิรูปประเทศ การยุติความขัดแย้ง และการสร้างความปรองดองภายใต้กติกาฉบับใหม่”
ไม่ผิดไปจากที่นายกรัฐมนตรีกล่าว เพราะเกือบจะทันทีที่ผลการออกเสียงประชามติออกมา ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง พากันแสดงความ “ผิดหวัง” กันต่างๆ นานา บางรายล่วงล้ำก้ำเกินไปถึงการตั้งคำถามถึง “ฉันทามติ” ของประชาชนว่าสวนทางกับประชาธิปไตย บางคนน้ำตาไหล นักการเมืองส่วนหนึ่งบอกว่า จะหันหลังให้กับการเมืองภายใต้การกำกับของอำนาจทหาร ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “ปฏิกิริยา” ที่สามารถแสดงออกได้อย่างเปิดเผยอยู่แล้ว เช่นเดียวกับอีกฟากฝั่งที่ออกอาการลิงโลด ถึงขนาดรีบเร่งประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองโดยจะอาศัยชายคาอานิสงส์ พล.อ.ประยุทธ์ หากแต่ที่สุดแล้ว ทุกฝ่ายก็ควรต้องพิจารณาว่า กรณีที่ประชาชนยอมกัดฟันผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นเพราะต้องการให้ฝ่ายการเมือง “เว้นวรรค” เพื่อปฏิรูปประเทศอันแสดงผ่านคำถามพ่วงใช่หรือไม่
ผลการออกเสียงประชามติยังถูกตีความไปไกลถึงขนาดที่ว่า อำนาจทหารในนาม คสช.จะล้มล้างพรรคการเมืองเพื่อเริ่มต้นกันใหม่ อย่างที่เรียกกันว่า "เซตซีโร่” ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นกรณี "ตีตนก่อนไข้" ของนักการเมือง ที่จินตนาการจากคำปฏิเสธของประชาชนผ่านคูหากาบัตร ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ไม่อาจจะปฏิเสธความมีอยู่ และบทบาทของนักการเมืองกับพรรคการเมืองไปได้ ประเด็นคือที่ผ่านมา นักการเมืองกระทำตนเป็นปัญหาของประชาธิปไตยเองหรือไม่ต่างหาก หรือในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปพูดที่ความดีของเนื้อหา แต่กลับทึกทักเอาว่า ประชามตินี้ เท่ากับประชาชนสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่บริหารประเทศต่อไปนานๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นการตีความเข้าข้างกลุ่มของตน
แม้ตามแนวการวิเคราะห์คำถามพ่วงที่จะให้มีบทเฉพาะกาลให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกับสมาชกสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีในระยะเวลา 5 ปีของการปฏิรูปประเทศได้ชี้เอาไว้ให้เห็นว่า เป็นโรดแม็พการสืบทอดอำนาจของคสช. และพล.อ.ประยุทธ์มากกว่า ซึ่งนั่นก็คือผลลัพธ์ตรงปลายสุดของการเลือกตั้งในปลายปี 2560 ซึ่งหลังจากนั้นยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นตัวกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่ลืมว่า ในคำถามพ่วงนั้นประเด็นสำคัญที่สุดคือ ต้องการให้ประชาชนตัดสินชะตาประเทศผ่าน “การปฏิรูป” ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องเอาใจใส่เพื่อผลักดันให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน อาการดิ้นรนของนักการเมือง และอีกพวกที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ อย่างร้อนรนออกนอกหน้าที่เห็นๆ กันอยู่ขณะนี้ล้วนแต่เป็นขบวนการ “ชักใบให้เรือเสีย” ทั้งสิ้น