นับถอยหลัง‘สุขุมพันธุ์’:มองไปข้างหน้ากับสนามกทม.
นับถอยหลัง‘สุขุมพันธุ์’:มองไปข้างหน้ากับสนามกทม. : อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ, ธนัชพงศ์ คงสาย สำนักข่าวเนชั่น
เมฆหมอกทะมึนดำยังคงปกคลุมศาลาว่าการ กทม.อย่างต่อเนื่อง เมื่อทั้งพรรคการเมืองและหน่วยราชการต่างแตะมือสลับหน้ามาเขย่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร”
เรื่องราวการบริหารที่ถูกตั้งคำถามทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความโปร่งใสถูกเปิดเผยออกมาให้ต้องแก้ตัวอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างอุโมงค์ไฟ ราคา 39 ล้านบาท การปรับปรุงห้องทำงานมูลค่า 16 ล้านบาท การจัดซื้อรถกู้ภัยขนาดเล็กที่มองว่าใช้การไม่ได้จริง เช่นเดียวกับการจัดทำเลนจักรยาน หรือเรื่องการจัดการน้ำท่วมที่แม้ไม่มีใครออกมาโจมตีแต่ก็ถูกคน กทม.บ่นกันขรมทุกครั้งที่มี “น้ำขังรอการระบาย” ยามฝนตกหนัก
ตัวละครหลักที่สลับหน้ากันออกมาเปิดแผลก็คือ “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และ “พิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ส่วนที่ออกมาสำทับแผลเดิมบ้างก็เช่น ป.ป.ช. ที่รับสอบเรื่องอุโมงค์ไฟ และมหาดไทย ต้นสังกัดของ กทม. ที่ถึงขนาดสั่งให้ กทม.ไปดำเนินคดีอาญากับผู้ว่าฯ กทม. ด้วยตนเอง
ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ ทำให้หลายคนมองว่าผู้ว่าฯ กทม. อาจจะอยู่ไม่ครบเทอมก็ได้ เพราะที่ผ่านมา หากใครที่มีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการบริหารหรือประพฤติมิชอบ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มักจะใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวสั่งปลดสั่งย้าย
แม้ “บิ๊กตู่” จะเคยออกมาบอกในทำนองว่าไม่อยากทำ เพราะตำแหน่งนี้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าผู้บริหารท้องถิ่นอื่นที่แม้มาจากการเลือกตั้ง หากมีข้อสงสัยก็โดนตะเพิดพ้นตำแหน่งมาแล้วทั้งสิ้น
แล้วยิ่งเมื่อมีข่าวว่าผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินส่งชื่อ “คุณชายหมู” ไปยัง ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ต้นทางรายชื่อที่เสนอปลดทั้งหลายก็ทำให้ทุกคนลุ้นว่ารายชื่อที่ออกมาแต่ละครั้งจะมีชื่อของผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่
เมื่อเกิดกระแสข่าวเช่นนี้ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” แม้จะไม่ได้ออกมาด้วยตัวเอง แต่ให้ “วสันต์ มีวงษ์” โฆษกประจำตัวออกมาตอบโต้ โดยตั้งคำถามกลับไปที่ตัวผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินถึงดุลพินิจส่วนตัว
เขาบอกว่าเรื่องนี้ สตง.ไม่ต้องส่งชื่อเข้าไปที่ ศอตช.ก็ได้ แค่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ออกมาแสดงความเห็นผ่านสื่อมวลชนรายวัน ก็เป็นปัญหากับหน่วยงานที่บริการประชาชน ซึ่งมีกลไกของข้าราชการ และลูกจ้างที่ได้รับความหวั่นไหว และส่งผลไปถึงการให้บริการประชาชนที่ต้องได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นการบั่นทอนกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตามกระแสการปลดผู้ว่าฯ ก็คงยังไม่จางหาย เราจึงมาตรวจสอบข้อกฎหมายดูว่า หากเกิดความไม่พอใจ จะมีอำนาจพิเศษใดๆ ปลดผู้ว่าฯ กทม.พ้นจากตำแหน่งได้หรือไม่
แน่นอนว่า อำนาจแรกที่ดูจะปลอดภัยกับผู้ใช้อำนาจมากที่สุดคือ อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ส่วนช่องทางที่สอง คืออำนาจตามอยู่ในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 มาตรา 52 ข้อ 8 ระบุว่า 8.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยมติคณะรัฐมนตรีสั่งให้ออกจากตำแหน่ง เมื่อมีกรณีแสดงให้เห็นว่า ได้กระทำการอันเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหรือปฏิบัติการหรือละเลยไม่ปฏิบัติการอันควรปฏิบัติ ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจะเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรงแก่กรุงเทพมหานคร หรือแก่ราชการโดยส่วนรวมหรือแก่การรักษาความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน
ซึ่งถ้าจะใช้อำนาจตามนี้ก็ต้องตีความว่าการกระทำของผู้ว่าราชการ กทม.เข้าข่ายที่ระบุไว้ตามกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ ถ้ามีการปลดจริงก็ต้องมาดูกันว่าใครจะรักษาการณ์แทนตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. หากมีการใช้ช่องทางมาตรา 44 ก็สามารถดำเนินการได้เลยทุกอย่าง ซึ่งในคำสั่งมาตรา 44 ก็จะมีการแต่งตั้งบุคคลอื่นเข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่งจะเป็นการระบุไปเลยว่าใครจะรักษาการณ์ซึ่งเป็นการเลือกจากหัวหน้า คสช.โดยตรง
อย่างไรก็ตาม หากปลดตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กทม.ผู้ที่รักษาการณ์ก็จะเป็นปลัด กทม. ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ
แต่หาก “สุขุมพันธุ์” ไม่ถูกปลดโดยวิธีใด ก็ยังมีการบ้านสำหรับองค์กรแห่งนี้ให้ต้องคิด กล่าวคือ วาระของเขาจะหมดลงในอีกไม่ถึง 1 ปี ข้างหน้า หรือในเดือนมีนาคม 2560 ซึ่งน่าสนใจว่าระหว่างที่หมดลงจะเป็นไปในทางไหน
กรณีแรกมีผู้มองว่ามีความเป็นไปได้สูงว่า คสช. ยังไม่น่าที่จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้งทางการเมือง เพราะสนาม กทม. นั้นค่อนข้างใหญ่ และชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้กันดุเดือดของพรรคการเมืองใหญ่ ดังนั้น คสช.ที่ต้องการความสงบนิ่งทางการเมืองจึงยังไม่น่าที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น
จึงอาจจะมีคำสั่งให้ยังไม่ต้องมีการเลือกตั้งขึ้น จนกว่าการเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะมีในช่วงปลายปี 2560 เสร็จสิ้น และหลังจากนั้นจึงค่อยปลดล็อก
ในช่วงช่องว่างสุญญากาศนี่เองที่น่าสนใจว่า ใครจะมารักษาการณ์ในตำแหน่งนี้ จะเป็นปลัด กทม. ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการหรือไม่ หรือมีใครในสเปกเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่ปัจจุบันอยู่ในสภา กทม. ซึ่งยังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้คงต้องรอดูคำสั่งของหัวหน้า คสช.เป็นสำคัญ
ขณะที่อีกกระแสมองว่า หากรัฐธรรมนูญผ่านการประชามติ ก็เป็นไปได้ว่า แม้จะยังไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นที่อื่น แต่อาจจะปล่อยให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพื่อเป็นการชิมลาง หรือทดลองระบบต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้น ว่าจะสามารถควบคุมหรือจัดการกับความสงบ ความวุ่นวายได้มากน้อยเพียงใด
เรียกได้ว่าใช้เป็นสนาม “ทดลอง”
หากเป็นเช่นนั้น แน่นอนต้องมีการปลอดล็อกพรรคการเมือง เพื่อให้ประชุมพรรคได้ เพื่อให้มีมติส่งผู้สมัคร
ถึงวันนี้ก็เริ่มมีการพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการบ้างแล้วในพรรคการเมืองว่าจะส่งใคร ลงชิงตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังการเลือกตั้งใหญ่
พรรคเพื่อไทย ก็ต้องควานหาคนใหม่ เพราะหากยังเป็นเช่นนี้คงหาผู้เล่นหน้าใหม่มาลงในนามพรรคยากเพราะย่อมถูกจับตาสูง และคงไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะยังใช้คนหน้าเดิมที่อยู่กับพรรค แต่ต้องเป็นคนที่มีผลงานถูกจริตคนกรุงและไม่มีภาพความขัดแย้ง ตัวเลือกของพวกเขาจึงมีไม่มากนัก
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องเหนื่อยหนักในการตามหาตัวผู้สมัคร และการสู้ศึกในเมืองหลวง เพราะต้องยอมรับว่าวีรกรรมของ “สุขุมพันธุ์” นั้นไม่เข้าตาคนกรุง และถึงขนาดที่พรรคประชาธิปัตย์ยังออกมาลอยแพ ทั้งๆ ที่เคยการันตี
ประชาธิปัตย์จึงต้องตอบคำถามคนกรุงกับประสบการณ์อันไม่สวยงามที่ผ่านมา ดังนั้นคนใหม่ มือใหม่ อาจจะเข้าตาและตรงสเปกกับพรรคมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะออกทางไหนถึงวันนี้ก็ต้องเรียกว่าวันนับถอยหลังจาก “คุณชายสุขุมพันธุ์” ไมว่าจะครบวาระหรือไปก่อนวาระก็ตาม