คอลัมนิสต์

ประชามติ‘มิดจั๊ด’

ประชามติ‘มิดจั๊ด’

21 ก.ค. 2559

ประชามติ‘มิดจั๊ด’ : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา

            บุญเข้าพรรษามาถึง คนหนุ่มสาวคืนทุ่งไปทำบุญตามประเพณี และตามประสาคนบ้านเดียวกัน คนทางไกลมักทักถามเรื่องประชามติออกเสียงรัฐธรรมนูญ คนในหมู่บ้าน ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “มิด”

            ภาษาอีสานวันละคำ “มิด” แปลว่า “เงียบ” เหลือไม่ถึงเดือนจะถึงวันออกเสียงลงประชามติ ทุกอย่างก็ยังมิดจั๊ด มิดจี่หลี่ มิดส่อยม่อย มิดอิมซิม...จะมีคำสร้อยอะไร ก็สุดแท้คนพูดคนตอบคำถาม ซึ่งทุกคำนั้น แปลว่า “เงียบมาก”

            บรรยากาศแตกต่างจาก “ประชามติ 2550” และในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ดูแลความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ และภาคกลาง

            ถ้ายังจำกันได้ แม้คมช.จะคงกฎอัยการศึกไว้ แต่ก็ผ่อนคลายกติกาประชามติ ด้วยเปิดให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย แต่ห้ามปลุกระดมเดินขบวน

            จำได้ว่า อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้เปิดการปราศรัยใหญ่รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ท้องสนามหลวง มีประชาชนร่วมฟังการปราศรัยมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่พร้อมใจกันสวมเสื้อแดง we vote no

            ส่วนกลุ่มอดีต ส.ส.อีสาน ที่อยู่ในการดูแลของ “เนวิน” (สมัยยังไม่เปลี่ยนขั้ว) ก็ให้หัวคะแนนแจกหนังสือปกแดง “ทำไมควรไปลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 50” พร้อมกับแจกแผ่นซีดี “คืนหนึ่งกับทักษิณที่ฮ่องกง”

            กลุ่มไทยเซย์โน (ตอนหลังกลายเป็นกลุ่มแดงสยาม) ยังรณรงค์ “NO ไม่เอารัฐธรรมนูญ คมช.” ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อลงประชามติ ไม่เอา ไม่รับ ไม่ปลื้มรัฐธรรมนูญ คมช.

            ข้างฝ่ายหนุน คมช. ก็ทำกิจกรรมปลุกพลังเงียบให้รับร่างรัฐธรรมนูญ อย่างเช่นกลุ่มพันธมิตรบุรีรัมย์ นำโดย การุณ ใสงาม ได้จัดการเดินขบวนไปรอบเมืองบุรีรัมย์

            ดังนั้น สถานการณ์ในหมู่บ้าน จึงร้อนแรงไปด้วยการรณรงค์ประชามติ ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายไม่รับ

            ต่างจาก “ประชามติ 2559” ที่มีการออกกฎหมายประชามติ และสำทับด้วยมาตรา 44 อำนาจพิเศษของหัวหน้า คสช. คอยกำกับเกมประชามติ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ “มิดจั๊ด” ในทางการเมือง

            อย่างไรก็ตาม ผลการลงประชามติ 2550 ที่มีประชาชนออกเสียง “รับ” มากกว่า “ไม่รับ” อยู่ไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ ทาง คสช.จึงปรับยุทธวิธีใหม่ ไม่ให้ทุกกลุ่มทำกิจกรรมอึกทึกครึกโครม

            ลองมาพิจารณาผลประชามติ 2550 ที่มีประชาชนเสียงข้างมาก 14,727,306 เสียง หรือคิดเป็น 57.81% ออกเสียงมติเห็นชอบ และมีคะแนนแยกตามรายภาคดังนี้

            ภาคกลางเห็นชอบ 5,714,973 คน (ร้อยละ 66.53) ไม่เห็นชอบ 2,874,674 คน (ร้อยละ 33.47)

            ภาคใต้เห็นชอบ 3,214,506 คน (ร้อยละ 88.30) ไม่เห็นชอบ 425,883 คน (ร้อยละ 11.70)

            ภาคอีสานเห็นชอบ 3,050,182 คน (ร้อยละ 37.20) ไม่เห็นชอบ 5,149,957 คน (ร้อยละ 62.80)

            ภาคเหนือ เห็นชอบ 2,747,645 คน (ร้อยละ 54.47) ไม่เห็นชอบ 2,296,927 คน (ร้อยละ 45.53)

            จากผลคะแนนดังกล่าว อธิบายได้ว่า ภาคอีสานยังเป็นที่มั่นอันแข็งแกร่งของเครือข่ายทักษิณ โดยสะท้อนผ่านการเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 และปี 2554 พรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทย ก็ชนะขาดในสนามเลือกตั้งอีสาน

            ด้วยเหตุผลนี้ คสช.จึงต้องออกแรงคุมเข้มฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นแกนนำเสื้อแดง และอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้ขยับตัวปลุกกระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยเสรี
 
            เท่าที่ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฝ่ายทักษิณในวันนี้ ไม่มีกิจกรรมแบบเปิดเหมือนปี 2550 รวมถึงกลยุทธ์ใต้ดินที่แจก “แผ่นซีดี” มีเนื้อหาคิดถึงทักษิณนับแสนแผ่น

            ครั้งนี้ ฝ่ายการเมืองขั้วอำนาจเก่าใช้กลยุทธ์ “ปากต่อปาก” ผสมกับสื่อโซเชียล ทั้งไลน์ และเฟซบุ๊ก

            ทีวีดาวเทียมหรือจอการเมือง คนอีสานในชนบทส่วนใหญ่ไม่นิยมรับชม เพราะสถานการณ์ไม่ปลุกเร้าเหมือนในอดีต พวกเขาจึงหันไปดูรายการประกวดร้องเพลงทางช่องทีวีดิจิทัล

            ขณะที่ฝ่าย คสช.ยังติดรูปแบบเดิมๆ อาศัยรายการพิเศษที่ออกอากาศทุกช่อง และส่งหน่วยสันตินิมิตเข้าปฏิบัติการจิตวิทยาในหมู่บ้าน

            สถานการณ์ออกเสียงประชามติในวันนี้ เปรียบคล้ายเมฆฝนทะมึนดำ ผู้คนตกอยู่ในภาวะความกลัว ความหวาดระแวง ไม่แสดงตัวว่า เห็นชอบหรือไม่ชอบ

            มีแต่เสียงล้งเล้งของคนอ่านข่าวช่องทีวีดิจิทัล ที่พูดเรื่องประชามติ แต่สำหรับคนรากหญ้าแล้ว พูดได้คำว่า “มิด”