
วาทกรรม กับการสร้าง “ความชอบธรรม”
ไม่ว่า “วาทกรรม” จะถูกสร้างขึ้นแบบไหน แต่ความเป็นจริงจะเป็นตัวบ่งชี้เองว่า คำอธิบายที่พยายามบอกนั้นเป็นเหตุและผลเพียงพอหรือไม่
“ภาษา” แต่เดิมนั้นมีกำเนิดมาเพื่อรับใช้ความต้องการสื่อสารกันของมนุษย์ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจตรงกันระหว่าง “ผู้ส่งสาร” กับ “ผู้รับสาร” แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็เป็นการสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาเช่น เมื่ออยากกิน ก็บอกว่าหิว เมื่อเห็นอะไรก็บอกอย่างนั้น
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปภาษากลับมีบทบาทและหน้าที่ที่มากกว่านั้น เพราะมนุษย์มีความซับซ้อนมากกว่าที่เห็นกันอยู่ สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงๆอาจมีมิติมากกว่าที่ตาเห็น และภาษาทำหน้าที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการกระทำของมนุษย์
และเรื่องยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อภาษาถูกนำมาอธิบายเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่คนบางกลุ่ม แม้การกระทำและเหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องเลวร้าย หรือไม่ชอบธรรม และในขณะเดียวกัน “ภาษา” ที่นำมาใช้นี้อาจพลิกเกมเรียกความนิยมให้แก่คนบางกลุ่มได้ และเรื่องเหล่านี้นี่เองที่เราเรียกกันว่า “วาทกรรม”
หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไปกว่านั้น มีนักวิชาการระบุว่า “วาทกรรมไม่ใช่ภาษา แต่คือ ระบอบคิดความรู้ที่ถูกสร้างให้เป็นความจริง ที่อยู่ข้างหลังภาษา”
จะเห็นได้ว่าระยะหลัง “วาทกรรม” ถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองเกิดความแตกแยก สับสนระหว่างความถูกต้องกับความดี และในยามที่หลักเหตุผลถูกโยนทิ้งและเหลือไว้เพียงหลักความเชื่อ ในเวลาเช่นนี้นี่เองที่ “วาทกรรม” จะทำหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
จริงๆ แล้วในอดีตเราก็ใช้ “วาทกรรม” ในทางการเมืองมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมียุคไหนจะมีการประดิษฐ์มากและทรงประสิทธิภาพเท่ายุคนี้ เช่น เริ่มต้นด้วยการรัฐประหารปี 2550 ที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสองฝ่ายต่างก็ผลิตวาทกรรมออกมาประชันเพื่อแย่งมวลชนกัน
โดยฝั่งที่รณรงค์ “ไม่รับ” ขณะนั้นขนานนามร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ว่าเป็น “รัฐธรรมนูญโจร” และอธิบายว่าเป็นเพราะที่มาอย่างไรจึงตั้งชื่อเช่นนั้น ขณะที่ฝั่งอำนาจรัฐช่วงนั้นก็ต้องหาวาทกรรมมาแก้เกม เพราะเนื้อหาถูกตั้งคำถามอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “รับไปก่อน แก้ทีหลัง” นัยว่าเพื่อให้เกิดการเลือกตั้ง ซึ่งดูเหมือนว่า ทั้งสองวาทกรรมก็ประสบความสำเร็จทั้งคู่ เพราะเสียงที่ไม่รับก็มีไม่น้อย จากที่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีไม่มากนัก ขณะที่ฝั่งหนุนก็เรียกว่าตีตื้นกลับมาจากประโยคที่ว่านี่เอง จนสุดท้ายก็ชนะไปแบบฉิวเฉียด
และหลังจากนั้นทุกคนก็ได้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
จากนั้นประเทศของเราก็เต็มไปด้วยวาทกรรมที่สร้างความชอบธรรม เช่น เมื่อเกิดวิกฤติการเมือง กลางเมืองหลวงเมื่อปี 2553 รัฐบาลและกองทัพในขณะนั้นตัดสินใจที่ใช้กำลังเข้าจัดการกับผู้ชุมนุมที่พวกเขาระบุว่ามีอาวุธและสร้างความรุนแรง โดยเริ่มต้นปิดล้อม ปิดกั้นการเข้าออกส่งเสบียงอาหาร ก็ใช้ว่า “กระชับพื้นที่” จนสุดท้ายเมื่อวันที่เข้าสลายการชุมนุมโดยใช้กำลังทหาร ก็สร้างคำใหม่ที่เรียกว่า “ขอคืนพื้นที่” มาใช้แทน
คำทั้งสองคำนี้ฟังดูเบากว่าการปิดล้อมและสลายการชุมนุมมากนัก เพราะทำให้ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการที่ไม่รุนแรง แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นอย่างไรหลักฐานที่มีก็ปรากฏชัดว่าความเสียหายทั้งกับชีวิตและทรัพย์สินมีมากน้อยเพียงใด และตามมาด้วยคำพูดที่รองรับการกระทำโดยบอกว่าสมควรแล้วที่กระทำ เพราะคนที่ถูกกระทำคือพวก “เผาบ้าน เผาเมือง”
หรือในช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็มีการใช้คำในทำนองที่ว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” เพื่อเร่งเร้าการตัดสินใจ โดยอาศัยพื้นฐานแห่งความกลัว
และต่อมาในวิกฤติการเมืองช่วงปี 2556-2557 กลุ่ม กปปส.ก็เลือกใช้วาทกรรม “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” มาเพื่อต้องการไม่ให้มีการเลือกตั้งขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็ใช้การสร้างคำเช่นว่าพาประเทศเข้าสู่จุดอับเรื่อยๆ เมื่อจะมีผู้ไปสมัครรับเลือกตั้งก็มีการปิดกั้นสถานที่สมัคร และเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปทำหน้าที่ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะบอกว่า “ไม่ได้ไปขัดขวางการสมัคร แต่เชิญชวนให้ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งว่าไม่ไปสมัครได้หรือไม่”
จากสิ่งที่เกิดขึ้นก็คงเห็นกันว่าเนื้อแท้แล้วลักษณะเช่นว่าเป็นการเชิญชวนหรือการขัดขวาง
ซึ่งที่สุดพวกเขาก็ทำได้สำเร็จเพราะจนถึงวันนี้ผ่านไปสองปีกว่านับแต่มีการยุบสภาโดยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ส่วนการปฏิรูปก็ไม่ได้เป็น กปปส. ที่ทำ หากแต่อยู่ในกำมือของรัฐบาลทหารว่าจะทำอะไรบ้าง ซึ่งก็คาดได้ว่านี่คือสิ่งที่พวกเขามองเห็นแต่แรก แต่เลือกที่จะอธิบายในอีกรูปแบบ
หรือเมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองแล้ว ก็มีการผลิตวาทกรรมว่า “คืนความสุข” เพื่อสร้างความสบายใจว่าพวกเขาไม่ได้เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์อันเป็นลบ หรือต้องการยึดอำนาจอันชอบธรรมจากประชาชนแต่อย่างใด
ตามมาด้วยเมื่อมีคนเห็นต่างก็มีการใช้อำนาจเข้าไปจับกุมไปกักขัง ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้องการให้เกิดความหวาดกลัวและไม่กระทำอีก แต่พวกเขาก็เลี่ยงไปใช้คำว่า “ปรับทัศนคติ”
เช่นเดียวกับ เมื่อเกิดข้อครหาเรื่องการทุจริต ก็มักจะมีคำพูดแปลกเช่นกรณีการจัดซื้อไมโครโฟน และระบบควบคุมการประชุม ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าแพงเกินไป ก็มีคำพูดเชิงประชดประเทียดว่าเป็น “ไมค์ทองคำ” แต่เมื่อมีการตรวจสอบลงไปกลับมีคำชี้แจงว่าไม่ถึงกับการโกงแต่มี “ส่วนต่างเยอะ”
ซึ่งก็ทำให้สังคมถึงกับงงว่า “ส่วนต่าง” ที่ว่าหมายถึงอะไร และเป็นเรื่องที่สุดท้ายยอมรับกันได้กับส่วนต่างใช่หรือไม่
เช่นเดียวกับ กรณีอุทยานราชภักดิ์ ที่มีการพูดถึงคำว่า “ค่าที่ปรึกษา” ซึ่งก็ชวนสับสันว่าเป็นสิ่งเดียวที่ถูกครหาว่าเป็น “ค่านายหน้า” หรือไม่
หรือในกรณี จีที 200 ก็มีการระบุว่าไม่ใช่ “ค่าโง่” แต่ให้เรียกว่า “ค่าซื้อความรู้ที่แพงไปหน่อย” ซึ่งเมื่อประชาชนได้ฟังก็ไม่รู้จะสบายใจขึ้นกี่มากน้อย หรือจะกลายเป็นปวดหัวใจมากกว่าเดิมกันแน่
และกับ “วาทกรรม” ล่าสุด ที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่คนกรุง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วถูกนำมาใช้หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะนำกลับมาใช้เมื่อไหร่ก็สร้างความปวดร้าวได้ทุกเมื่อกับคำว่า “น้ำขังรอการระบาย”
คำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงจะใช้คำว่า “น้ำท่วม” ที่อาจสะท้อนความไม่เอาไหนของระบบการจัดการเมืองหลวง แต่วาทกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ก็ต้องการเพียงจะบอกว่าจัดการได้เพียงแต่ต้องใช้เวลา
ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน สิ่งที่ประชาชนต้องพบก็คือ มีมวลน้ำกองอยู่บนพื้นที่ที่ไม่สมควรมี และคำว่ารอการระบายก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน สองชั่วโมง สามชั่วโมง หรือเป็นวัน และหมายถึงการต้องทนทุกข์ของ “คน” ทั้งสิ้น
ไม่ว่า “วาทกรรม” จะถูกสร้างขึ้นแบบไหน แต่ความเป็นจริงจะเป็นตัวบ่งชี้เองว่า คำอธิบายที่พยายามบอกนั้นเป็นเหตุและผลเพียงพอหรือไม่ หรือสุดท้าย “วาทกรรม” ที่เกิดขึ้นอาจจะทำได้เพียงสร้างความสบายใจให้แก่ผู้ผลิตมันขึ้นมาเท่านั้นเอง
-----------------
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : วาทกรรม กับการสร้าง “ความชอบธรรม” : โดย...อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ สำนักข่าวเนชั่น)