คอลัมนิสต์

อุปมาเรื่องหมาในโลกของตำรวจ!!  

อุปมาเรื่องหมาในโลกของตำรวจ!!  

08 มิ.ย. 2559

อุปมาเรื่องหมาในโลกของตำรวจ!!  : โลกตำรวจ โดยปนัดดา ชำนาญสุข

           ศึกสงครามชนะได้ด้วยขวัญและกำลังใจของไพร่พล นี่คือเรื่องพื้นๆ ที่รู้กันอยู่แก่ใจเป็นอย่างดี

           ถึงแม้ว่าจะขาดแคลนงบประมาณ ขาดแคลนทรัพยากร ขาดแคลนกำลังพล หรือแม้กระทั่งกองทัพจำต้องตกอยู่ในฐานะที่เปรียบเสมือนฝ่ายเสียเปรียบที่มีโอกาสพ่ายแพ้สูง แต่แม่ทัพนายกองที่ชาญฉลาดย่อมตระหนักเป็นอย่างดีว่า

           “ขวัญและกำลังใจของไพร่พลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ชัยชนะ”

           ดังเช่นเรื่องราวของพระเจ้าตากที่ใช้ทหารม้าฝีมือดีประมาณ 500 นายแหกวงล้อมของทหารพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา เพราะคิดว่าหากยังตั้งมั่นอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจะมีแต่วันพ่ายแพ้ เมื่อแหกวงล้อมได้สำเร็จก็นำพาไพร่พลเพียงเล็กน้อยนั้นมุ่งไปยังเมืองจันท์หวังแสวงหากำลังมาช่วย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นนอกจากไม่ได้รับความช่วยเหลือด้วยความเกรงกลัวทหารพม่าแล้วยังถูกตราหน้าว่าหนีทัพอีกด้วย

           ในที่สุด พระเจ้าตากสินตัดสินใจตีเมืองจันท์เพื่อให้ได้ทรัพยากรกลับไปตีทหารพม่าให้จงได้ สิ่งสำคัญที่น่าสนใจคือ ยุทธวิธีการทุบหม้อข้าวเพื่อให้เหล่าไพร่พลเกิดความฮึกเหิม

           “ถ้าไม่ร่วมแรง ร่วมใจสู้รบเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ทุกอย่างจะจบ”

           มาตรการทุบหม้อข้าวในฐานะมวยรองนำไปสู่ความสำเร็จและได้รับชัยชนะ ด้วยการมีขวัญและกำลังใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

           เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านบทเรียนทางประวัติศาสตร์นี้สร้างแง่คิดให้การหันกลับมาทบทวนการบริหารจัดการงานตำรวจในห้วงเวลาวิกฤติที่ผ่านมานี้ได้บ้างหรือไม่ ?

           ขวัญและกำลังใจที่ถูกทำลายจนทำให้เกิดความขัดแย้งภายในระหว่างหมู่ตำรวจอย่างมากในยุคนี้ถือเป็น “จุดอ่อน” สำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำที่มากด้วยบารมีและประสบการณ์การนำทีมที่เข้มแข็งจำเป็นต้องทบทวน และปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของเหล่าบรรดาไพร่พล และขุนพลตำรวจทั้งหลายกลับมาคืนมาให้ได้โดยเร่งด่วน

           โดยเร่งด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป หากศรัทธาหมดสิ้น!!!!!

           ในอดีตนานมาแล้วเคยมีแต่เรื่องราวของชาวบ้านแถบภาคใต้ได้เปรียบเปรยคนที่ทำงานร่วมกับตำรวจหรือข้าราชการของรัฐด้วยภาษาที่เหยียดหยันว่า “หมานาย”

           แต่ในยุคนี้ ตำรวจเองกลับนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับ “หมา”

           อุปมาตำรวจเป็นดั่ง “หมาข้างขา” กับ “หมาข้างรั้ว”

           “รุ่นพี่หลายๆ คนได้บอกผมว่า การบริการและช่วยเหลือประชาชนนั้นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ความเจริญรุ่งเรืองในอาชีพรับราชการนั้น อยู่ที่เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูง หรือไม่ก็ต้องเข้าหานักการเมืองสำคัญๆ ผมเพียงรับรู้ตามที่พี่บอกแต่ก็คิดว่าหากเราทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุดแล้ว เราก็น่าจะเจริญเติบโตในอาชีพนี้ได้” เรื่องเล่าเริ่มต้นขึ้น

           จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้พบและพูดคุยกับพี่ตำรวจที่นับถือ พี่แกบอกว่า “อาชีพตำรวจไม่วิ่งเต้น ไม่อยู่กะนาย หรืออยู่กะขั้วอำนาจนั้นไม่มีทางเจริญหรอกให้ทำงานแทบตาย ชาวบ้านเห็น ลูกน้องเห็น แต่นายไม่เห็น ไม่เคยเห็นหน้าตาเลย ก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนสุภาษิต หมาข้างขา กับหมาข้างรั้วนั่นล่ะ” ผมจึงได้ถามถึงความหมายดังกล่าว พี่เขาเล่าต่อว่า

           หมาข้างขามันก็อยู่ใกล้ชิดกะนายมัน คอยเลียแข้ง เลียขา ประจบสอพลอ หยอกล้อเล่นกะนาย นอนอยู่ในบ้าน อาบน้ำเกือบทุกวัน มีเสื้อผ้าใส่ให้สวยงาม มีอาหารดีๆ ให้กิน บางครั้งนายกินขนมก็ป้อนให้กับมือ เวลาจะออกไปเที่ยวไหน ก็เอาหมาข้างขา ไปด้วย นั่งรถ จยย. หรือรถยนต์ โชว์ไปตามที่ต่างๆ เวลามันประจบสอพลอกะนาย นายมันก็รู้แต่นายก็ชอบ เวลาโยกย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่และใหม่ก็จะเอามันไปด้วย มีที่นอน อาหารการกินเหลือเฟือไม่อดอยาก หมาพวกนี้มีนิสัยฉลาดมักขี้อ้อน ประจบประแจง มักไม่ชอบการต่อสู้ซึ่งหน้า ชอบแทงหลัง เอาความดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น

           ส่วนหมาข้างรั้วนั้น สัญชาติญาณของมันเป็น หมานักสู้ นอนเฝ้าอยู่ข้างรั้วหน้าบ้านตากแดด ลม ฝน มันก็ต้องทนอยู่เพื่อดูแลความปลอดภัยให้นายมัน คอยไล่กัดหมาตัวอื่นๆ และขับไล่สัตว์ร้ายต่างๆๆๆ ที่จะเข้ามาในบ้าน บางครั้งหิว เพราะนายลืมให้อาหาร หรือให้น้อย มันก็ต้องออกไปหากินเองนอกบ้าน ต้องไล่กัดกะหมาตัวอื่นๆๆ จนบาดเจ็บกลับมา บางครั้ง นายก็ไม่รับรู้หรือดูแลเลย ซ้ำร้ายอาจเฆี่ยนตีหาว่าออกไปไล่กัดเขา มันมองเข้ามาในบ้านจะไปเข้ากลุ่มกะหมาข้างขา แต่ก็ทำไม่ได้ เนื้อตัวมีกลิ่นเหม็น มีหมัด เหา เหลือบ อยู่เต็มตัว ถึงเข้าไปก็โดนไล่ตีออกมา เชื้อชาติเผ่ามันม้นไม่ใช่หมาข้างขา เศษขนม เศษอาหาร นายให้ก็โยนกลิ้งมากะดิน ตกบนพื้นสกปรก แต่มันก็ต้องกิน เพื่อความหิว และความอยู่รอด อนิจจาหมาข้างรั้ว หิวออกไปนอกบ้าน โดนคนอื่น เขาตี เอายาเบื่อให้กิน ก็ตายไปอย่างหมาข้างถนน มันเป็นชะตาลิขิตไว้แล้ว

           เรื่องเล่าได้แสดงความรู้สึกของผู้เล่าซึ่งเป็นเสียงแทนเหล่าบรรดาไพร่พลและขุนพลตำรวจทั้งหลายในยามนี้ที่ฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่า

           เจ้านายครับผมคงโดนชะตาลิขิตไว้แล้วให้เป็นหมาข้างรั้ว มันก็ต้องทำหน้าที่ของมันต่อไป!!!!!