คอลัมนิสต์

หมากัดอย่ากัดหมา

หมากัดอย่ากัดหมา

26 พ.ค. 2559

หมากัดอย่ากัดหมา : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา

             ภาษิตไทยบทหนึ่งสอนไว้ว่า หมากัดอย่ากัดตอบ ความหมายก็คือ อย่าลดตัวลงไปทะเลาะกับคนที่ไม่ควรทะเลาะ เพราะมันไม่คุ้มกัน เรื่องนี้เกี่ยวกับศักดิ์ศรีที่มนุษย์ยึดถือเป็นคุณค่าอย่างหนึ่ง แต่ดันกลับไปเปรียบคนที่แย่กว่ากับหมา มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในวัฒนธรรมไทยนั้น เราใช้หมาเปรียบกับความด้อย ความต่ำต้อยและชั่วร้าย ในขณะเดียวกันเราก็มีภาษิตอีกชุด ที่ดูเหมือนจะยกย่องหมา เช่น เรามักให้ค่าความกตัญญู ซื่อสัตย์และภักดีของหมามากกว่าคน

             ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมาในสังคมไทยดูมันย้อนแย้งกันพิลึก แต่เมื่อรวบรวมข้อความเปรียบเทียบเกี่ยวกับหมาแล้ว ดูมันจะออกไปในความหมายเชิงลบมากกว่าบวก หมาเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างชัดเจนที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันลักลั่นระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในสังคมไทย

             นับตั้งแต่ประเทศไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 เราก็มักได้ข่าวการกระทบกระทั่งระหว่างคนกับหมามากขึ้น และแทบทุกครั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับหมาก็จะลามเลยบานปลายไปเป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับคน จนเป็นเรื่องเป็นข่าวกันอย่าต่อเนื่อง ก่อนหน้าที่จะมี พ.ร.บ.นี้ ข่าวหมากัดคนคนกัดหมามักไม่ค่อยปรากฏ เพราะหมามักจะเป็นเหยื่อของการกระทำทารุณกรรมเสมอมา แต่เมื่อกฎหมายนี้ออกมา คนก็ไม่อาจจะทำร้ายต่อหมาได้อย่างเดิมอีก

             การมีกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ เป็นดัชนีชี้วัดถึงความเป็นสังคมที่มีอารยะอย่างหนึ่ง มนุษย์มีปัญหากับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นมาโดยตลอด ด้วยระบบคิดที่เห็นว่า เราคือสายพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล เราเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งแม้แต่ธรรมชาติ ระบบคิดแบบนี้ทำให้เรามองสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นว่าด้อยกว่าเรา และเราก็หาทางเข้าไปใช้ประโยชน์ ควบคุมกำกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะสัตว์มาโดยตลอด เรากินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เอามันมาใช้งาน ใช้เป็นสัตว์ทดลอง เอามาเป็นเครื่องสังเวยบาป เอามาเป็นเพื่อนเล่น หรือไว้ดูเพื่อความเพลิดเพลิน ขณะเดีวกันเราก็ฆ่าและล่ามันอย่างโหดร้ายทารุณ นำมันมาเป็นตัวเปรียบกับพฤติกรรมและลักษณะนิสัยของคน มนุษย์ปฏิบัติต่อสัตว์อย่างทารุณโหดร้าย เลือกปฏิบัติและหลายมาตรฐาน สัตว์จึงเป็นรองในฐานะเบี้ยล่างของมนุษย์มาโดยตลอด

             ปัจจุบันระบบคิดแบบนี้ถูกสั่นคลอนและรื้อสร้างจากนักนิเวศวิทยาและนักสิ่งแวดล้อมนิยม พวกเขาพูดถึงจริยธรรมของสิ่งแวดล้อม จริยธรรมเกี่ยวกับสัตว์ นักวิชาการรด้านสัตว์คนหนึ่งประกาศว่า "บอกลาความคิดที่ว่ามนุษย์ดีเลิศประเสริฐศรีและมีคุณค่ามากกว่าสัตว์ได้เลย" พวกเขาเห็นว่าที่แท้มนุษย์ก็เป็นสัตว์สายพันธุ์หนึ่ง ไม่ได้เหนือกว่าสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ เลย แนวคิดนี้เองที่ทำให้หลายประเทศเกิดความตื่นตัว มีการออกกฎหมายป้องกันการกระทำทารุณกรรมต่อสัตว์ รวมทั้งประเทศไทยของเรา ที่เคยถูกประณามจากอารยประเทศในกรณี ขบวนการค้าเนื้อสุนัข พอกฎหมายนี้ออกมา บรรดาพ่อค้าเร่รับซื้อหมาประเภท "หมาแลกคุ" ในภาคอีสานก็ลดน้อยลงไป ส่งผลให้มีหมาจรจัดมากขึ้นจนผิดสังเกต และทำท่าว่าต่อไปหมาจรจัดจะกลายเป็นปัญหากับคนตามมา ดังที่เป็นข่าวให้เราอ่านกันบ่อยขึ้นในระยะหลังๆ

             อันที่จริงรากฐานวัฒนธรรมไทยเรื่องจริยธรรมสัตว์มีมาก่อนแนวคิดของชาวตะวันตกด้วยซ้ำไป ว่าไปแล้วชาวตะวันตกนั่นแหละตัวดี พวกเขามาจากสังคมล่าสัตว์ ในขณะคนในเอเชียส่วนใหญ่เป็นสังคมกสิกรรม เรากินเนื้อสัตว์ใหญ่ น้อยกว่าคนตะวันตก คนไทยคือพวก “กินข้าว กินปลา” ที่ผมว่าเรามีรากฐานนี้มาก่อน เพราะในคัมภีร์ศาสนาเรื่องสำคัญของเรา คือ "ไตรภูมิพระร่วง" ได้พูดเรื่องนี้เอาไว้ชัดเจน ในคำสอนของพุทธศาสนาก็ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเบียดเบียนสัตว์อื่นๆ ซึ่งเราก็ประจักษ์กันดีอยู่ แต่ที่ผมจับใจมากก็คือ ที่กล่าวไว้ในไตรภูมิพระร่วง ในตอนที่ว่าด้วยสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในภูมิเดียวกับเรา

             ไตรภูมิพระร่วงบอกไว้ตอนหนึ่งว่า สัตว์เดรัจฉานพวกนี้ กว่าจะได้เกิดมามีชีวิตก็ช่างแสนยากลำบาก เกิดมาแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก พวกเขามีความต่ำต้อยกว่ามนุษย์ในทุกมิติ ดังนั้นมนุษย์จึงควรมีเมตตาต่อสัตว์เหล่านี้เถิด

             ที่เอาเรื่องนี้มาพูด เพราะคิดว่ามีหลายคนเริ่มเรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายว่าด้วยการกระทำทารุณกรรมสัตว์เสียใหม่ เพราะเห็นว่ากฎหมายนี้เริ่มทำให้คนยุ่งยากและมีปัญหา พวกเขารู้สึกว่า กฎหมายชักจะให้ความเป็นธรรมกับสัตว์มากกว่าคน

             เอาไปเอามา เราก็ยังจมอยู่กับวิธีคิดเดิมๆ ที่เห็นว่า มนุษย์ดีเลิศกว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นอยู่นั่นเอง.