คอลัมนิสต์

ซูจีเหนือฟ้าการเมืองเมียนมาร์

ซูจีเหนือฟ้าการเมืองเมียนมาร์

29 มี.ค. 2559

ซูจีเหนือฟ้าการเมืองเมียนมาร์ : โลกสาระจิปาถะ โดยกวี จงกิจถาวร

           ย่างกุ้ง-นางออง ซาน ซูจี จะเป็นนักการเมืองเมียนมาร์ที่มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาลที่มีพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยเป็นพรรคจัดตั้งขึ้น และจะได้เข้ามาปกครองประเทศในวันที่ 1 เมษายนนี้

           นางซูจีเคยลั่นวาจาไว้ว่า เธอจะอยู่ "เหนือประธานาธิบดี” เมียนมาร์ ถ้าเธอไม่ได้เป็นประธานาธิบดีเพราะรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน (2008) ไม่อนุญาตให้คนที่มีครอบครัวเป็นชาวต่างประเทศเป็นผู้นำประเทศได้ (มาตรา 59-เอฟ)

           หลังชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เธอพยายามอย่างยิ่งในการเจรจากับทหาร หรือ ทัตมาดอว์ (Tatmadaw) เพื่อหาข้อยุติในเรื่องนี้ ปรากฏว่าไม่สำเร็จ เนื่องจากทางทหารยืนกรานว่าจะมายุ่งกับรัฐธรรมนูญในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้

           ตอนแรกซูจีไม่ยอม เพราะถือว่าพรรคของตนชนะการเลือกตั้ง ควรจะมีสิทธิในการปกครองประเทศแบบที่ทหารเคยปกครองกันมา ในการพบปะกันระหว่างเธอกับนายพลตัน ฉ่วยนั้น เป็นที่ทราบกันว่า นายพลตัน ฉ่วย ได้ขอร้องเธอเป็นการส่วนตัว ให้คงบทบาทต่อพรรคยูเอ็นเอสดีพีที่เพิ่งแพ้การเลือกตั้งต่อไป เพราะมันจะทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยในเมียนมาร์คงอยู่ได้ นายพลตัน ฉ่วน แถมคุยจบท้ายว่า ในช่วงที่เขามีอำนาจสามารถทำลายพรรคเอ็นแอลดีของเธอได้ แต่ไม่ทำ เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาการเมืองตามแผนโรดแม็พ 7 ข้อในปี 2003

           นอกจากนั้นยังมีการพบปะระหว่างคณะเจรจาเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลชุดเก่ากับชุดใหม่ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ผู้นำกองทัพบกเมียนมาร์คือ นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้พูดชัดเจนว่า ซูจีต้องระมัดระวังเรื่องกระบวนการสันติภาพและท่าทีต่อชนกลุ่มน้อยติดอาวุธทั้งหลาย มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในประเด็นความมั่นคงของชาติ

           ตอนหลังจะพบว่าซูจีได้ทำใจและยอมอ่อนข้อให้ทหารอย่างน้อยๆ ก็ช่วงนี้ เพื่อแลกกับการที่เธอจะเข้ามามีอำนาจดูแลรัฐบาลชุดใหม่ที่มีรัฐมนตรีทั้งหมด 18 ตำแหน่ง แต่ 3 ตำแหน่งเกี่ยวกับความมั่นคง กลาโหมและมหาดไทยนั้น ยังอยู่ในโควตาทหารอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

           ซูจีจะกินตำแหน่งถึง 4 กระทรวง คือ รัฐมนตรีต่างประเทศ ศึกษาธิการ ว่าด้วยพลังงานและเหมืองแร่ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยตำแหน่งทั้งหมดเธอสามารถดูแลประเด็นที่เธอสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องต่างประเทศและการศึกษา

           ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศเธอมีสิทธิเข้าไปนั่งในที่ประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อรับฟังเรื่องรายงานสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศจากทหาร แต่กระบวนการตัดสินใจยังอยู่ที่ทหาร เพราะมีเสียงโหวตในสภาความมั่นคงถึง 6 เสียงจากคณะกรรมการ 11 เสียง

           หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย ซูจีต้องรีบหาทางปรองดองกับอาเซียนทันที เพื่อให้นโยบายอาเซียนที่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้วางไว้ค่อนข้างดีมีความต่อเนื่อง เป็นที่ทราบกันดีว่า ซูจียังมีความรู้สึกไม่ดีต่อผู้นำอาเซียน พวกเขาไม่ยอมสนับสนุนเธอในช่วงที่เธอถูกจองจำในบ้านเธอ เข้าๆ ออกๆ อยู่ถึง 14 ปีก่อนที่เธอจะชนะเลือกตั้ง

           ไม่แปลกใจเลยที่ที่ผ่านมาเธอไม่ยอมแสดงความคิดเห็นต่ออาเซียน เก็บความรู้สึกไว้ เฝ้าดูว่า ท่าทีและนโยบายต่างประเทศเมียนมาร์ตั้งแต่วันนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะตัวเธอจะวางตัวอย่างไร? โชคดีที่สมาชิกอาเซียนยังมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากอินโดนีเซียที่เป็นสตรีคือ นางเร็ตโน

           แน่นอนที่สุด ในช่วงต้นๆ เธอต้องเดินทางไปเยือนลาวเป็นประเทศแรก ในฐานะประธานอาเซียนเป็นธรรมเนียมที่สมาชิกอาเซียนทำกันมา อย่างไรก็ดี ท่าทีเธออาจจะชัดเจนขึ้น ในกลางเดือนกรกฎาคมรัฐมนตรีอาเซียนจะพบกันที่กรุงเวียงจันทน์ เพื่อเตรียมการประชุมซัมมิตที่จะมีขึ้นต้นเดือนกันยายน

           ประเทศต่อไปที่เธอจะแวะเยือนอาจจะเป็นประเทศไทย เพราะให้ความสำคัญต่อประเทศชายแดนทั้งหมด มีทั้งจีน อินเดีย บังกลาเทศ ส่วนไทยยังมีเรื่องแรงงานกว่า 4 ล้านคน อนาคตพวกเขาเป็นประเด็นใหญ่ นอกจากนั้นยังเรื่องการปักปันชายแดนและความมั่นคงชายแดนทั่วๆ ไป

           ปีนี้จะสังเกตเห็นว่า การประชุมสุดยอดของอาเซียนทั้งหลายได้เลื่อนขึ้นมาเกือบ 2 เดือน เนื่องจากกำหนดการของผู้นำอาเซียนและคู่เจรจานั้น สับสนมาก กว่าจะตกลงกันได้ต้องเลื่อนการประชุมเข้าเดือนกันยายน ทำให้การจัดวาระการประชุมค่อนข้างจวนแจ

           รัฐบาลไทยต้องเตรียมการให้ดี เพื่อส่งเสริมบทบาทไทยในเวทีการเมืองในภูมิภาคที่มีความเข้มข้นขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ต้องมียุทธศาสตร์ต่อเมียนมาร์ภายใต้ซูจี