
วัฏจักรแห่งความมืดบอด
29 ม.ค. 2559
วัฏจักรแห่งความมืดบอด : บทบรรณาธิการ วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559
มีหลายเสียงพูดกันว่า "ไสยศาสตร์” ตลอดจนพิธีกรรมที่ประดิษฐ์คิดขึ้นมาประกอบร่วมกันนั้นเป็นความเชื่ออันผนึกแน่นอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน ถ้าจะพูดอีกอย่าง ก็คงหนีไม่พ้น ลัทธิบูชาผีสางนางไม้ และสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เมื่อหลายร้อยหลายพันปีมานั้น ยังฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ซึ่งแม้ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและยุคสมัยมากแล้ว หากแต่ไสยศาสตร์และพิธีกรรมกลับไม่ได้สูญหายไป ในทางกลับกัน มรดกความเชื่อที่ว่านั้นกลับถูกประยุกต์ให้เข้ากับ "จริต” ของผู้คนแห่งยุคสมัยนั้นๆ ปรากฏการณ์ตุ๊กตาลูกเทพคืออีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป สังคมไทยเข้าสู่โลกดิจิทัล แต่สภาพ "อวิชชา” อันมีรากเหง้าจากเรื่องไสยศาสตร์ ลัทธิบูชาผีสางนางไม้ก็ยังคงสิงสถิตอยู่ในสถานภาพใหม่ที่เรียกกันว่า “ความเชื่อส่วนบุคคล” หรือ “ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่”
จิตแพทย์ นักจิตวิทยา ให้ความเห็นว่า คนที่เลี้ยงดูตุ๊กตาเสมือนลูกจริงๆ มีเลือดเนื้อและลมหายใจยังไม่เข้าข่ายป่วยเป็นโรคจิต ตราบเท่าที่ยังไม่ได้พูดคุยสนทนากับสิ่งที่สมมุติขึ้นว่าเป็นลูก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเข้าข่ายจิตหลอน แต่ในความเป็นจริงดังเป็นข่าวออกมาก็คือ บรรดาผู้มีลูกเทพไว้นั้น ล้วนเลี้ยงดูเสมือนคนจริงๆ ถึงขนาดสายการบินยังเปิดให้จองที่นั่ง และเสิร์ฟอาหารให้โดยปกติ ขณะที่บริษัทเดินรถทัวร์ก็ยินดีให้บริการทำนองเดียวกัน ส่วนร้านค้าต่างๆ ก็อ้าแขนรับพร้อมบริการดื่มกินแบบเทียมๆ เท่าที่พ่อแม่ของลูกเทพจะพึงพอใจ บางฝ่ายก็เห็นว่า พฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากภาวะจิตใจของผู้คนที่เปลี่ยวเหงา ว้าเหว่ ขาดที่พึ่งทางใจ อย่างเช่นที่อ้างว่า เลี้ยงลูกเทพแล้วทำมาหากินรุ่งเรืองร่ำรวย ชีวิตเปี่ยมสุข หน้าตาสดใส นั่นก็เป็นเพราะว่า เมื่อจิตใจมีสิ่งยึดเหนี่ยวแล้ว ก็นำไปสู่การใช้ชีวิตด้วยความหวังจนประสบความสำเร็จ
เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้บนโลกนี้ ที่สำคัญที่สุดทางหนึ่งก็คือศาสนา สำหรับคนไทยนับถือพุทธศาสนามากที่สุด วัดวาอาราม และผู้ถือเพศสมณะทั้งหลาย ก็น่าจะเป็นศูนย์กลางแห่งพระธรรมคำสอนที่คอยชี้ทางสว่างให้แก่ผู้คนที่คิดว่าตนหมดทางไป แต่ทุกวันนี้ กลับมีเรื่องชวนให้สงสัยว่า ผู้ทำหน้าที่ชี้ทางสว่างนั้น กลับยิ่งทำให้ผู้คนเดินหลงทางหรือไม่ อย่างที่ปรากฏคำให้สัมภาษณ์จากพระสงฆ์บางรูปว่า ต้องลงมือทำคุณไสยตามคำร้องขอของญาติโยมก็เป็นเพราะว่า ต้องการให้ญาติโยมเหล่านั้นเกิดความสบายใจ การกระทำเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการช่วยให้พ้นจากทุกข์ ขณะที่มีเสียงวิจารณ์อีกฟากหนึ่งว่า กิจกรรมเช่นนี้ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อญาติโยมมาหาพระด้วยความทุกข์ ก็ควรบอกทางออกในหนทางธรรมตามวิถีพุทธ หาใช่ทำคุณไสยอันนำไปสู่ความงมงายลุ่มหลง
ถ้าหากผู้คน พากันหันหน้าเข้าหาเครื่องจรรโลงใจทางไสยศาสตร์ด้วยเหตุผลของภาวะจิตใจขาดไร้ที่พึ่งพิง ซึ่งในความเป็นจริง พวกเขาอาจไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่าการแสวงหาความสุขทางใจตามความเชื่อ โดยที่ไม่มีเสียงทัดทานคอยให้สติเตือนใจ ในทางตรงกันข้ามกลับพากันเข้ารกเข้าพงเสียด้วยซ้ำ จึงนอกจากทุกคนในสังคมจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรแล้ว ยังต้องมองย้อนกลับไปด้วยว่า ทุกองคาพยพอันประกอบกันขึ้นมานั้น มีความพิกลพิการตรงไหน เพราะคำอธิบายเพียงแค่ว่า ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวขาดที่พึ่งนำทาง ย่อมไม่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะเอาเข้าจริง เมื่อข่าวคราวซาลง ทุกอย่างก็จะเงียบหายไปในสายลม เจ้าสำนักคุณไสย สงฆ์นอกรีต ก็ยังอยู่คู่เคียงความมืดบอด ไม่ต่างไปจากยุคสมัยบูชาผีสางนางไม้แต่อย่างใด