คอลัมนิสต์

ลูกเทพ:เอาที่สบายใจก็แล้วกัน

ลูกเทพ:เอาที่สบายใจก็แล้วกัน

28 ม.ค. 2559

ลูกเทพ:เอาที่สบายใจก็แล้วกัน : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา

             ตอนที่ "ครูเทพ" หรือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ปัญญาชนในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 เขียนบทความว่าด้วยการเกิดจันทรุปราคา หรือราหูอมจันทร์ ท่านได้พูดถึงพฤติกรรมของคนไทยที่พากันออกมาช่วยจันทร์ ด้วยวิธีต่างๆ รวมทั้งการจุดประทัด ว่าเวลาเกิดราหูอมจันทร์แต่ละครั้ง คนที่ได้รับผลประโยชน์คือพ่อค้าคนจีนที่ขายประทัดนั่นเอง ท่านได้จบบทความด้วยความเห็นที่ว่า เห็นทีจะต้องให้มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับโดยไวเสียแล้ว

             “ครูเทพ" นับเป็นนักการศึกษาไทยของจริง เพราะท่านได้วางรากฐานการศึกษาไทยในสมัยแรกเริ่มอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้การศึกษาไทยมีความเข้มแข็ง มั่นคงมาถึงทุกวันนี้ หาก "ครูเทพ" เกิดมาในยุคที่กระแสข่าว "ลูกเทพ" กำลังดังเกรียวกราวในสื่ออย่างทุกวันนี้ เราไม่รู้ว่า ท่านจะรู้สึก อย่างไรบ้าง เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนไทยในยุคสังคมก้มหน้า

             ปรากฏการณ์ทางความเชื่อแนวไสยศาสตร์ นับเป็นอะไรที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย หมดเรื่องนี้ไป ก็มีเรื่องนั้นมาแทนที่ และนับวันจะพิลึกพิลั่นและชวนตื่นตาตื่นใจมากขึ้นทุกที ปรากฏการณ์ความเชื่อแบบไสยศาสตร์ที่ถูกมองว่างมงายล้าหลัง ในยุคสังคมก้มหน้า มาเร็ว มาแรง และมักจะวูบหายไปแบบรวดเร็วเช่นเดียวกัน นักวิชาการบางคนใช้คำหรูหราน่าฟังว่า ปรากฏการณ์ลูกเทพ เป็น “นวัตกรรมใหม่ของความเชื่อ” หมายถึงเป็นการคิดหารูปแบบใหม่ของวัตถุความเชื่อมาคลั่งไคล้บูชา ด้วยเหตุผลทางจิตใจ เทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ รวมทั้งการสื่อสารในโลกสังคมออนไลน์ กลายเป็นฐานรองรับทำให้นวัตกรรมความเชื่อเชิงไสยศาสตร์ กลายเป็นเรื่องฮือฮาอยู่เสมอ

             พอมีข่าวกระแสลูกเทพปรากฏในหน้าสื่อต่างๆ ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามติดมาด้วยอย่างกว้างขวาง นานาทัศนะก็ว่ากันไป บ้างก็ว่า คนที่หลงบูชาตุ๊กตาเด็ก มองตุ๊กตาลูกเทพว่า เป็น “กุมารทอง” สมัยใหม่ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นี่เป็นนวัตกรรมใหม่หรือพัฒนาการใหม่ของความเชื่อเรื่องกุมารทองเท่านั้นเอง นักวิชาการด้านจิตวิทยาก็มองว่านี่คือภาวะป่วยไข้ของคนในสังคมอันซับซ้อนและสับสน ผู้คนพากันอยู่ในภาวะ “จิตเภท” กระจัดกระจาย เลยต้องแสวงหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ไ่ม่ว่าจะเป็นการสถานปนาร่างทรงใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครในวรรณคดี หรือแม้แต่การสร้างกุมารทองยุคไฮเทค อย่างปรากฏการณ์ลูกเทพที่ว่า บางความเห็นก็ออกมาโจมตีเย้ยหยัน ประมาณว่า พวกที่บูชาลูกเทพ นอกจากจะมีเงินและต้อง​“โง่” ด้วยจึงจะทำได้

             แต่ที่สนุกยิ่งกว่านี้ก็คือ มีสายการบิน รถทัวร์ และแม้แต่ร้านอาหารบางแห่ง ยังวิ่งเข้ามาสมาทานกับปรากฏการณ์กุมารทองไฮเทค ด้วยการเปิดขายตั๋วให้บริการเยี่ยงเดียวกับการให้บริการผู้คนทั่วไป คือถ้าฟังแบบไม่คิดอะไรมากก็ต้องบอกว่า บ้านนี้เมืองนี้มันช่างสนุก สุขใจกันเสียจริง ใครจะนับถืออะไร ใครจะสร้างเทพองค์ไหนขึ้นมาบูชาก็ว่ากันไป เรื่องความเชื่อไสยศาสตร์ ไม่มีใครห้ามใครได้ ต่อให้รัฐบาลออกกฎหมายบังคับ หรือเอาปืนมาจี้ก็ไม่มีทางจะห้ามคนกลุ่มนี้ได้อยู่ดี รัฐบาลทหารก็คงมองปรากฏการณ์นี้ด้วยความเบาใจ เพราะการที่คนหันมาบูชาตุ๊กตาลูกเทพกันมากๆ ย่อมจะดีกว่าการที่คนพาออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลอย่างแน่นอน กระแสข่าวลูกเทพอาจช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ประเด็นปัญหาทางการเมืองไปได้อีกพักใหญ่ ดีไม่ดีหากคนยังบ้าตุ๊กตาลูกเทพกันไม่ลืมหูลืมตา รัฐบาลอาจส่งเสริมการผลิตตุ๊กตาลูกเทพขึ้นในประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ปัญหาชาวสวนยางพาราขายยางไม่ได้ก็จะเพลาลงไป เพราะรัฐรับซื้อมาป้อนโรงงานผลิตตุ๊กตาลูกเทพจำนวนมาก ฝ่ายพวกนักธุรกิจก็คงฉวยโอกาสสร้างแผนการตลาดขึ้นมาแข่งขันกันอย่างครึกโครม

             โลกยุคหลังสมัยใหม่แบบที่นักวิชาการว่า มันเกิดอะไรที่เราไม่อาจคาดคิดได้เสมอ ทุกอย่างมันดูพิลึกพิลั่นและย้อนแย้ง หัวมังกุท้ายมังกร ผสมปนเปกันแบบส้มตำมั่ว ตำซั่ว ดูอีเหละเขละขละ อีนุงตุงนังไร้ระบบ แบบแผน หากเราเอาปรากฏการณ์ “จาตุคามรามเทพ” มาเป็นกรณีศึกษา ก็น่าจะอนุมานได้ว่า ปรากฏการณ์ลูกเทพจะยังคงเป็นที่ฮือฮาอยู่อีกพัก และหลังจากนั้นไม่นานเราจะพบตุ๊กตาลูกเทพนอนแอ้งแม้งสิ้นราคาอยู่ตามกองขยะเหมือนองค์จตุคามรามเทพที่ถูกนำไปทิ้งกองไว้ข้างถนนชนิดที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้ดีกว่านั้น

             “ครูเทพ” เคยตั้งสมมุติฐานว่า การศึกษาจะช่วยปลุกคนให้พ้นจากความเชื่องมงาย ล้าหลังได้ ท่านเลยเขียนบทความเรื่องจันทรุปราคาขึ้นมาเมื่อเกือบร้อยปีก่อน แต่หากท่านกลับมาเกิดใหม่ในยุคสังคมก้มหน้า “ครูเทพ” คงอ่อนอกอ่อนใจกับปรากฏการณ์เรื่องตุ๊กตาลูกเทพนี้ ดีไม่ดีท่านอาจต้องพูดแบบภาษาเฟซบุ๊กว่า "เอาที่สบายใจก็แล้วกัน".